แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 58
1
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


2
การจัดฟันเด็ก ช่วยปรับโครงหน้า

การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่แก้ไขปัญหาในเรื่องของการเรียงตัวของฟันที่มีความผิดปกติ เป็นหนึ่งในวิธีรักษาทางทันตกรรมซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง การจัดฟันยังช่วยปรับโครงหน้าของผู้เข้ารับการรักษาให้เข้ารูปได้ด้วย ดังนั้นการจัดฟันจึงช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดียิ่งขึ้นได้ นอกจากนี้ในปัจจุบัน การจัดฟันได้มีการพัฒนาให้สามารถจัดฟันในเด็กได้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่อายุ3-4 ขวบเลย แต่ถ้าพูดในเรื่องของความสะดวกและความร่วมมือของเด็กก็ควรอยู่ในช่วงอายุ 7-8 ขวบจะดีที่สุด

ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันกำลังพัฒนาและขากรรไกรกำลังเจริญเติบโต นั่นหมายความว่าปัญหาบางอย่าง เช่น ฟันซ้อน จะแก้ไขได้ง่ายกว่าตอนโตเป็นผู้ใหญ่ นอกจากนี้การจัดฟันในเด็กไม่สามารถแก้ไขปัญหาการจัดฟันได้ทุกแบบ แต่อาจช่วยได้ในบางกรณีเท่านั้น แต่ในเรื่องของโครงสร้างของใบหน้า แน่นอนว่าการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ด้วยเครื่องมือ EF Line คือเครื่องมือที่เป็นชิ้นยางหลากหลายสี ซึ่งมีหลายขนาดตามอายุและขนาดของขากรรไกรเด็ก ซึ่งประโยชน์ของเครื่องมือชิ้นนี้ คือมันจะช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าของเด็กให้มาอยู่ถูกที่ถูกทาง และให้ใบหน้าดูสมส่วนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

โดยเครื่องมือการจัดฟันในการจัดฟันในเด็กนั้น จะช่วยป้องกันปัญหาการสบฟันผิดปกติหรือแก้ไขเพื่อบรรเทาความรุนแรงของความผิดปกติซึ่งควรทำในเด็ก เพราะเครื่องมือ EF Line ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของป้องกันฟันล้ม ซึ่งใช้ในกรณีที่มีการสูญเสียฟัน หรือ ต้องถอนฟันน้ำนมก่อนกำหนด โดยทันตแพทย์จะถอนฟันน้ำนมที่เสียออก แล้วพิมพ์ปากเพื่อทำเครื่องมือกันฟันล้มใส่ให้ รอจนกว่าถึงเวลาที่ฟันแท้จะงอกขึ้นทดแทนในช่องว่างที่ถอนฟันสำหรับผู้เข้ารับการรักษาที่เป็นเด็กก็จะมีฟันแท้ งอกตรงในบริเวณที่ควรจะงอก ทำให้ไม่ก่อให้เกิดปัญหาฟันคุดของฟันแท้ในบริเวณนั้น หรือ การล้มเกของฟันรอบๆ ข้าง

แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การได้มีฟันน้ำนมอยู่ในปากจนครบเวลาที่ควรจะหลุด จะเป็นการป้องกันฟันล้มเกได้ดีที่สุด นอกจากนี้ เครื่องมือดังกล่าวยังสามารถแก้ไขพฤติกรรมที่ผิดปกติที่เกิดในเด็กได้ด้วย หากเรามานั่งพูดถึงสาเหตุของการสบฟันที่ผิดปกติในเด็กจำนวนมาก ที่เรามักพบเจอได้บ่อย ส่วนใหญ่จะเกิดจากนิสัยต่างๆ เช่น การดูดนิ้ว การกลืนที่ผิดปกติ หรือ การหายใจทางปากจากปัญหาทางเดินหายใจ อาจจะส่งผลให้ฟันหน้าบนยื่น หรือไม่สบฟันได้ในที่สุด ทันตแพทย์จะมีเครื่องมือรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยแก้ไขนิสัยเหล่านี้ให้แก่เด็กได้

อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็ก ก็มีข้อดีในเรื่องเครื่องมือการจัดฟันที่เป็นจุดเด่น สำหรับเครื่องมือ EF Line นอกจากจะช่วยแก้ไขในเรื่องของปัญหาสุขภาพฟันในเด็กแล้วยังช่วยในเรื่องของโครงสร้างของใบหน้าของเเด็กอีกด้วย เพราะสามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า

จะต้องเข้ารับการแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน เครื่องมือ EF line สามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี โดยสามารถแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลายแต่ก็มีความแตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า ขึ้นอยู่กับความยาก ง่ายของความผิดปกติ อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านไหน สนใจให้บุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยโปรแกรม EF Line สามารถขอรับคำแนะนำและปรึกษากับทางทันตแพทย์ของทางคลีนิกได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทยน์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก จึงเป็นการการันตีได้ว่า บุตรตหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่ดี และมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นเด็กที่มีสุขภาพฟันที่ดีได้อย่างแน่นอน

3
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


4
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


5
Doctor At Home: โรคหลอดเลือดสมอง/สโตรก (Stroke/Cerebrovascular accident/CVA)

โรคหลอดเลือดสมอง/อัมพาตครึ่งซีก* จัดว่าเป็นโรคที่พบได้บ่อยในบ้านเราขณะนี้ มักพบในวัยกลางคนขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ และเป็นได้ทั้งหญิงและชาย

โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงในสมอง กล่าวคืออาจมีการตีบ ตัน หรือแตกของหลอดเลือดเหล่านี้ ทำให้เนื้อสมองบางส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายตายไปและหยุดสั่งงาน จึงทำให้เกิดอาการอัมพาตของร่างกายส่วนนั้น ๆ ขึ้น

อาการมักจะเกิดขึ้นฉับพลันทันที เรียกว่า โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน สโตรก (stroke) โรคลมอัมพาต หรือ โรคลมปัจจุบัน

*อัมพาต (paralysis) หมายถึง อาการอ่อนแรงของแขนขาหรืออวัยวะภายนอกอื่น ๆ (เช่น ใบหน้า ตา ปาก) ทำให้ร่างกายส่วนนั้นเคลื่อนไหวไม่ได้หรือได้น้อยกว่าปกติ โดยอาจมีอาการชา (ไม่รู้สึกเจ็บ) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

ถ้าขาทั้ง 2 ข้างมีอาการอ่อนแรง หรือขยับเขยื้อนไม่ได้ เรียกว่า อัมพาตครึ่งล่าง (paraplegia) ถ้าแขนขาทั้ง 4 ขยับเขยื้อนไม่ได้ เรียกว่า อัมพาตหมดทั้งแขนขา (quadriplegia) อัมพาตทั้ง 2 ลักษณะนี้มักมีสาเหตุจากโรคของไขสันหลัง (ไขสันหลังอักเสบเฉียบพลัน, ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ, เนื้องอกไขสันหลัง)

แต่ถ้าแขนขาเพียงซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง หรือขยับเขยื้อนไม่ได้ เรียกว่า อัมพาตครึ่งซีก (hemiplegia) ซึ่งเป็นเรื่องที่จะกล่าวถึงในที่นี้

ส่วนอาการอัมพาตชนิดต่าง ๆ สามารถตรวจอาการได้ที่ “อัมพาต/แขนขาอ่อนแรง/หนังตาตก”

สาเหตุ

โรคนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ซึ่งมีอาการแสดง ความรุนแรง และวิธีการรักษาที่ต่างกัน ดังนี้

1. สมองขาดเลือดจากการอุดตัน (ischemic stroke) พบได้ประมาณร้อยละ 80 ของโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย ได้แก่

(1) หลอดเลือดสมองตีบ (cerebral thrombosis/thrombotic stroke) เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบจากการสะสมของไขมันที่ผนังด้านในของหลอดเลือด* ซึ่งจะค่อย ๆ พอกหนาตัวขึ้นทีละน้อยจนเกิดการตีบตันของหลอดเลือด หรือเกิดจากการมีลิ่มเลือด (thrombosis) ในหลอดเลือดขยายตัวจนอุดตันหลอดเลือด ทำให้เซลล์สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ซึ่งหากแก้ไขไม่ทัน เซลล์สมองเกิดการตาย จะทำให้กล้ามเนื้อแขนขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตอย่างถาวร

โรคนี้มักพบในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติสูบบุหรี่ ซึ่งมีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้ก่อนวัยสูงอายุ เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มักมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งเร็วกว่าปกติ

นอกจากนี้ ผู้ที่มีอายุมาก (≥ 55 ปีในผู้ชาย และ 65 ปีในผู้หญิง) ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสูบบุหรี่ร่วมด้วย) คนอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักเกิน ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นอัมพาตครึ่งซีกก็อาจมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ

ภาวะหลอดเลือดสมองตีบตันเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตครึ่งซีกที่พบได้บ่อยกว่าสาเหตุอื่น ๆ และมีอันตรายน้อยกว่าหลอดเลือดสมองแตก

ภาวะสมองขาดเลือดจากการอุดตัน นอกจากเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงในสมองแล้ว ยังพบว่าประมาณร้อยละ 10-15 ของผู้ป่วยสโตรกเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงที่คอหรือหลอดเลือดคาโรติด (carotid artery) ซึ่งทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง

(2) ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง (cerebral embolism/embolic stroke) เนื่องจากมี "สิ่งหลุด" ซึ่งเป็นลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดที่อยู่นอกสมอง (ที่พบบ่อยคือ ลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดแดงที่คอและหัวใจ) หลุดลอยตามกระแสเลือดขึ้นไปอุดตันในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้เซลล์สมองตายเพราะขาดเลือด มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงที่คอตีบ (carotid artery disease) และโรคหัวใจ (เช่น โรคหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว หรือ atrial fibrillation, โรคหัวใจรูมาติก, กล้ามเนื้อหัวใจตาย, โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด, เยื่อบุหัวใจอักเสบ, โรคลิ้นหัวใจพิการ, ผู้ป่วยที่ผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม เป็นต้น) นอกจากนี้ยังอาจพบในผู้ป่วยที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงมาก (polycythemia), ผู้ป่วยที่มีไขกระดูกหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง (ซึ่งพบในผู้ป่วยที่กระดูกหัก)

2. หลอดเลือดสมองแตก/เลือดออกในสมอง (cerebral hemorrhage/hemorrhagic stroke) ทำให้เนื้อสมองโดยรอบตาย พบได้ประมาณร้อยละ 20 ของโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (สโตรก) ถือเป็นภาวะร้ายแรง อาจทำให้ผู้ป่วยตายได้ในเวลารวดเร็ว มีอัตราตายโดยเฉลี่ยร้อยละ 40-50

ถ้าพบในผู้สูงอายุมักมีสาเหตุจากโรคความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ ยังอาจมีสาเหตุจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงที่เป็นมาแต่กำเนิด เช่น หลอดเลือดโป่งพอง (congenital aneurysm) หลอดเลือดฝอยผิดปกติ (arteriovenous malformation/AVM) เป็นต้น หลอดเลือดผิดปกติเหล่านี้มักจะแตกและทำให้เกิดอาการอัมพาตเมื่อผู้ป่วยอยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน

บางรายอาจมีสาเหตุจากภาวะการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง (เช่น ตับแข็ง มะเร็งเม็ดเลือดขาว ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ โรคเลือดบางชนิด เป็นต้น) การได้รับยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) สารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน) หรือยาเสพติด (แอมเฟตามีน โคเคน) การดื่มแอลกอฮอล์จัด เนื้องอกสมองที่มีภาวะเลือดออก การบาดเจ็บที่ศีรษะ (ดูเพิ่มเติมใน "ภาวะศีรษะได้รับบาดเจ็บ เลือดออกในสมอง") เป็นต้น

*ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) เกิดจากการมีไขมันสะสมที่ผนังด้านในของหลอดเลือดแดงเป็นแผ่น เรียกว่า “แผ่นคราบไขมัน (atherosclerotic plaque)” หรือ “ตะกรันท่อเลือดแดง (atheroma)” ซึ่งประกอบด้วยไขมัน คอเลสเตอรอล และสารอื่น เช่น แคลเซียม เนื้อเยื่อเส้นใย เม็ดเลือดขาว-มาโครฟาจ (macrophage)

เมื่อแผ่นคราบหรือตะกรันดังกล่าวหนาตัวขึ้น ทำให้หลอดเลือดมีรูที่ตีบแคบ เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ (เช่น หัวใจ สมอง ไต แขนขา) น้อยลง อวัยวะนั้น ๆ เกิดภาวะขาดเลือด ทำให้เซลล์ของอวัยวะนั้นตายหรืออวัยวะนั้นเสื่อมได้ เช่น ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (แขนขา) ตีบ ไตวายเรื้อรัง เป็นต้น     

นอกจากนี้ แผ่นคราบไขมันอาจมีความเปราะและแตกได้ ทำให้มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นตรงรอยแตกของแผ่นคราบ เกิดการอุดตันหลอดเลือดโดยตรง หรือหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดแขนงที่มีขนาดเล็กกว่า ขณะเดียวกัน อาจมีเศษของแผ่นคราบที่แตกหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดแขนงเล็กได้เช่นกัน เช่น แผ่นคราบหรือลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดคาโรติด (หลอดเลือดแดงที่คอ ซึ่งมีขนาดใหญ่) หลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดขนาดเล็กในสมอง ทำให้เกิดโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ (TIA) หรือโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (สโตรก) ได้

อาการ

1. ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดสมองตีบ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการแขนขาซีกหนึ่งอ่อนแรงลงทันทีทันใด ผู้ป่วยอาจสังเกตพบอาการแขนขาข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตขณะตื่นนอน หรือขณะเดินหรือทำงานอยู่ก็รู้สึกทรุดล้มลงไป ผู้ป่วยอาจจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยก็ได้ เช่น อาการชาตามแขนขา ตามัว เห็นภาพซ้อน หนังตาตก ปากเบี้ยว (เวลายิ้มกว้างเห็นมีมุมปากตกข้างหนึ่ง) พูดไม่ได้ หรือพูดอ้อแอ้ หรือกลืนไม่ได้

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน หรือมีความรู้สึกสับสนนำมาก่อนที่จะมีอาการอัมพาต

ผู้ป่วยมักจะมีอาการแขนขาชาหรืออ่อนแรงเพียงข้างใดข้างหนึ่ง (อัมพาตครึ่งซีก) เท่านั้น กล่าวคือ ถ้าการตีบตันของหลอดเลือดเกิดขึ้นในสมองข้างซ้าย ก็จะมีอาการอัมพาตที่ซีกขวา (ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตซีกขวาอาจพูดไม่ได้ เพราะศูนย์ควบคุมการพูดอยู่ในสมองข้างซ้าย) ถ้าเกิดขึ้นในสมองข้างขวาก็จะเกิดอาการอัมพาตที่ซีกซ้าย

ผู้ป่วยส่วนมากจะรู้สึกตัวดี หรืออาจจะซึมลงเล็กน้อย ยกเว้นในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอาการหมดสติร่วมด้วย

อาการอัมพาตมักจะเป็นอยู่นานกว่า 24 ชั่วโมงขึ้นไป และจะเป็นอยู่นานเป็นแรมเดือนแรมปี หรือตลอดชีวิต

ผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการแขนขาซีกหนึ่งชาและอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ ตามัว หรือเวียนศีรษะ บ้านหมุน ซึ่งมักจะเป็นนานประมาณ 2-30 นาที (น้อยรายที่อาจนานเป็นชั่วโมง เต็มที่จะไม่เกิน 24 ชั่วโมง) แล้วหายเป็นปกติได้เอง เรียกว่า โรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ หรือทีไอเอ (TIA ซึ่งย่อมาจาก transient ischemic attack)*

2. ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง จะมีอาการคล้ายในข้อ 1 แต่อาการอัมพาตมักเกิดขึ้นฉับพลันทันที อาจมีประวัติเป็นโรคหัวใจ ผ่าตัดหัวใจ หรือกระดูกหักมาก่อน

3. ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดสมองแตก อาการมักเกิดขึ้นทันทีทันใดโดยไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า บางรายอาจเกิดอาการขณะทำงานออกแรงมาก ๆ หรือขณะร่วมเพศ ผู้ป่วยอาจบ่นปวดศีรษะรุนแรงหรือปวดศีรษะซีกเดียวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย แล้วก็มีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ได้ แขนขาค่อย ๆ อ่อนแรง อาจชักและหมดสติในเวลารวดเร็ว

ถ้าตกเลือดรุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการหมดสติ ตัวเกร็ง รูม่านตาหดเล็กทั้ง 2 ข้าง ซึ่งมักจะตายใน 1-2 วัน

ถ้าตกเลือดไม่รุนแรง ก็อาจมีโอกาสฟื้นและค่อย ๆ ดีขึ้น หรือถ้าได้รับการผ่าตัดได้ทันท่วงทีก็อาจช่วยให้รอดได้

ในกรณีที่เกิดจากการแตกของหลอดเลือดโป่งพอง (aneurysm) หรือหลอดเลือดฝอยผิดปกติ (AVM) ซึ่งมักพบในช่วงอายุ 25-50 ปี อาจมีเลือดรั่วซึมเล็กน้อยนำมาก่อน โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะอย่างต่อเนื่อง อาจมีอาการปวดใบหน้าและเห็นภาพซ้อนร่วมด้วยนานเป็นนาที ๆ ถึงเป็นสัปดาห์ เมื่อหลอดเลือดแตกจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงฉับพลันและหมดสติ อาจหมดสติอย่างต่อเนื่อง หรือหมดสติอยู่ระยะหนึ่งแล้วฟื้นคืนสติ แต่จะมีอาการสับสน ง่วงนอน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อาเจียน

*โรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ (TIA) เกิดจากสมองขาดเลือดจากการอุดตันเพียงชั่วขณะ อาจเกิดจากหลอดเลือดแดงในสมองหรือหลอดเลือดแดงที่คอตีบตัน หรือมีสิ่งหลุดจากหลอดเลือดแดงที่อยู่นอกกะโหลกศีรษะลอยไปอุดตันในหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการแสดง สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และการป้องกันแบบเดียวกับโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (สโตรก) ต่างกันตรงที่โรคสมองขาดเลือดชั่วขณะจะมีอาการอยู่นานไม่เกิน 24 ชั่วโมง (ส่วนใหญ่จะเป็นเพียง 2-30 นาที) แล้วหายได้เอง โดยร่างกายเกิดกลไกธรรมชาติที่สามารถทำให้การอุดตันนั้นหายไปได้อย่างรวดเร็ว เปิดทางให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองได้เป็นปกติ
เนื่องจากพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะหากไม่ได้รับการรักษา ประมาณร้อยละ 10-20 จะกลายเป็นสโตรกตามมาภายใน 3 เดือน (ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเป็นสโตรกภายใน 2 วันหลังเป็นโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ) และผู้ที่เป็นสโตรก ประมาณร้อยละ 15-30 จะมีประวัติว่าเคยมีอาการของโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะมาก่อน โรคสมองขาดเลือดชั่วขณะจึงถือเป็นสัญญาณเตือนภัยของการเกิดโรคสโตรก ดังนั้น หากมีอาการสมองขาดเลือด (เช่น แขนขาซีกหนึ่งอ่อนแรง พูดอ้อแอ้ ปากเบี้ยว) ไม่ว่าสงสัยจะเป็นโรคสโตรกหรือโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ ก็ควรรีบไปโรงพยาบาลด่วน ทั้ง 2 โรคนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว ซึ่งจะป้องกันไม่ให้กลายเป็นอัมพาตครึ่งซีกอย่างถาวร

ภาวะแทรกซ้อน

    มีอาการแขนขาอ่อนแรง เคลื่อนไหว หรือเดินลำบาก อาจทำให้หกล้ม กระดูกหัก หรือศีรษะได้รับบาดเจ็บได้
    ปากเบี้ยว พูดลำบาก กลืนอาหารลำบาก หรือสำลักอาหาร (เกิดภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจหรือปอดอักเสบ)
    ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง มีความรู้สึกเป็นภาระให้คนอื่น สูญเสียความมั่นใจในตนเอง เก็บตัว ไม่เข้าสังคม
    บางรายอาจมีความจำเสื่อม คิดช้า ไม่เข้าใจเหตุผล หรือตัดสินใจไม่ได้
    ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หงุดหงิดง่าย หรือเป็นโรคซึมเศร้า
    ในรายที่เป็นอัมพาตเรื้อรังและนอนติดเตียง อาจเกิดแผลกดทับ (bed sores) ที่ก้น หลัง และข้อต่าง ๆ อาจเป็นปอดอักเสบ หรือโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบแทรกซ้อนได้บ่อย ๆ ซึ่งอาจเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษที่ร้ายแรงตามมาได้

นอกจากนี้การนอนติดเตียงนาน ๆ อาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด ซึ่งทำให้เกิดภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

    ในรายที่เป็นรุนแรงหรือมีโรคที่พบร่วม (เช่น โรคหัวใจ ชีพจรเต้นผิดจังหวะ) อาจเสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อนทางสมอง หรือโรคหัวใจ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย


การตรวจร่างกาย นอกจากอาการอัมพาตของแขนขาซีกหนึ่งแล้ว อาจมีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ได้ ซึม ความดันโลหิตสูง รีเฟล็กซ์ของข้อ (tendon reflex) ไวกว่าปกติ อาจมีอาการหายใจช้าหรือหายใจไม่สม่ำเสมอ

ในรายที่เกิดจากภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง การตรวจร่างกายอาจพบความผิดปกติของหัวใจ เช่น ฟังได้เสียงฟู่ (murmur) หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือเต้นแผ่วระรัวร่วมด้วย

ในรายที่เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก อาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว หมดสติ คอแข็ง และความดันโลหิตสูงรุนแรงร่วมด้วย อาจตรวจพบรูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน ถ้าเป็นรุนแรงอาจพบรูม่านตาหดเล็กทั้ง 2 ข้าง

ในรายที่เป็นโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ หากมาพบในระยะที่อาการหายแล้ว มักตรวจไม่พบอาการผิดปกติทางสมอง นอกจากภาวะหรือโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่นความดันโลหิตสูง ชีพจรเต้นผิดปกติ โรคหัวใจ)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การถ่ายภาพสมองด้วยการฉีดสีเข้าหลอดเลือดสมอง (cerebral angiogram) การตรวจหลอดเลือดแดงที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (carotid doppler ultrasound) การถ่ายภาพหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiogram) การเจาะหลัง การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุ ดังนี้

1. ในรายที่เป็นโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ (TIA) ซึ่งมีอาการเพียงชั่วขณะแล้วหายเป็นปกติได้เอง แพทย์จะให้ยาควบคุมโรคหรือภาวะที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ เป็นต้น และให้ยาต้านเกล็ดเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดขึ้นใหม่ ยาที่ใช้ได้แก่ แอสไพริน ขนาด 81-325 มก. วันละครั้ง ทุกวัน ในรายที่กินแอสไพรินไม่ได้ จะให้โคลพิโดเกรล (clopidogrel) แทน

ในรายที่ตรวจพบว่า หลอดเลือดแดงที่คอ (carotid artery) มีการตีบมากกว่าร้อยละ 70 อาจต้องทำการผ่าตัดหลอดเลือด (endarterectomy) เพื่อขจัดแผ่นคราบไขมันและลิ่มเลือดออกไป บางรายอาจใช้บัลลูนขยายหลอดเลือดและใส่หลอดลวดตาข่าย (stent)

ผลการรักษา สำหรับโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ การได้รับการรักษาโดยเร็วและต่อเนื่อง นอกจากป้องกันไม่ให้อาการของโรคนี้กลับมากำเริบใหม่แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสโตรกตามมาได้ถึงร้อยละ 80 อีกด้วย

2. ในรายที่เป็นสโตรกที่เกิดจากสมองขาดเลือดจากการอุดตัน (หลอดเลือดสมองตีบและสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง) นอกจากให้การรักษาตามอาการ (เช่น ให้น้ำเกลือ ช่วยการหายใจ ควบคุมชีพจรถ้าเต้นแผ่วระรัว ยาลดไข้ถ้าไข้สูง ให้ยาลดความดันโลหิตถ้าสูงมาก) แล้ว เมื่อถ่ายภาพสมองยืนยันว่าเกิดจากภาวะนี้ (ไม่ใช่เลือดออกในสมอง) แพทย์ก็จะพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytic agent) ได้แก่ recombinant tissue-type plasminogen activator (rt-PA) เข้าทางหลอดเลือดดำเพื่อเปิดทางให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมอง ทำให้เซลล์สมองไม่ตาย ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนสู่ปกติได้เร็ว ยานี้จะได้ผลดีต้องให้ภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง (270 นาที) นับแต่เริ่มเกิดอาการ และผู้ป่วยจะต้องไม่มีภาวะที่เป็นข้อห้ามในการใช้ยานี้ (เช่น หมดสติ ชักเมื่อแรกมีอาการ ความดันโลหิต > 185/110 มม.ปรอท เกล็ดเลือดต่ำ ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด ภาวะการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง มีภาวะเลือดออก เป็นต้น)

ในบางกรณี แพทย์อาจให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม (anti-coagulant) ได้แก่ เฮพาริน (heparin) ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว โรคลิ้นหัวใจพิการ หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดซ้ำ ถ้าให้ตามหลังยาละลายลิ่มเลือด (tPA) ควรทิ้งช่วงให้ห่างอย่างน้อย 24 ชั่วโมงขึ้นไป

หลังจากอาการคงที่แล้ว แพทย์จะให้ยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน, โคลพิโดเกรล) ให้ยาควบคุมโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุ และทำการฟื้นฟูสภาพ โดยการทำกายภาพบำบัดและการใช้อุปกรณ์ช่วย

ในรายที่ตรวจพบมีหลอดเลือดแดงที่คอตีบ อาจให้การรักษาด้วยการผ่าตัดหลอดเลือด หรือใช้บัลลูนขยายหลอดเลือด

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้าเป็นเล็กน้อยและได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกก็อาจหายเป็นปกติ หรือฟื้นสภาพได้จนเกือบปกติ จนช่วยตัวเองได้ พูดได้ เดินได้ แต่อาจใช้มือไม่ถนัด ในรายที่เป็นรุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ก็มักจะมีความพิการหรือบกพร่องทางร่างกาย ซึ่งต้องการการดูแลจากผู้อื่น นั่งรถเข็น หรือใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน

ส่วนน้อยที่จะพิการรุนแรงจนต้องนอนอยู่บนเตียง และต้องการผู้ดูแลตลอดเวลา หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล

โดยทั่วไปการฟื้นตัวของร่างกายมักจะต้องใช้เวลา ถ้าจะดีขึ้นก็จะเริ่มมีอาการดีขึ้นให้เห็นภายใน 2-3 สัปดาห์ และจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถช่วยตัวเองได้หรือหายจนเกือบเป็นปกติ

3. ในรายที่เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้น้ำเกลือ ใส่ท่อหายใจและเครื่องช่วยหายใจ ควบคุมความดันโลหิตถ้าสูงรุนแรง เป็นต้น ในรายที่มีก้อนเลือดในสมองอาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดสมองแบบเร่งด่วน ส่วนในรายที่มีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและไม่กดถูกสมองส่วนสำคัญ ก็อาจไม่ต้องผ่าตัด เมื่อปลอดภัยแล้วจึงค่อยทำการฟื้นฟูสภาพต่อไป

ผลการรักษา ขึ้นกับตำแหน่งและปริมาณของเลือดที่ออก สภาพของผู้ป่วย (อายุ โรคประจำตัว) และการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ

ถ้าเลือดออกในก้านสมองจะมีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 90-95 เมื่อพบภาวะนี้มักจะไม่สามารถให้การบำบัดรักษา

ถ้าก้อนเลือดมีขนาดใหญ่ และแตกเข้าโพรงสมอง จะมีอัตราตายถึงร้อยละ 50

ถ้าเลือดออกที่บริเวณผิวสมอง หรือก้อนเลือดขนาดเล็ก และไม่แตกเข้าโพรงสมองจะมีอัตราตายต่ำ

ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หากรอดชีวิต ก็มักจะมีความพิการอย่างถาวร บางรายอาจกลายสภาพเป็นผักหรือคนนิทรา (vegetative state) อยู่นานหลายปี ในที่สุดมักเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ โรคติดเชื้อต่าง ๆ

ส่วนผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ซึ่งมักเกิดจากการแตกของหลอดเลือดที่ผิดปกติที่เป็นมาแต่กำเนิด ถ้าแตกตรงตำแหน่งที่ไม่สำคัญ และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก มักจะสามารถฟื้นหายได้เป็นปกติ

ผู้ป่วยหลังผ่าตัดบางราย แม้ว่าร่างกายจะฟื้นตัวได้ดี แต่อาจมีโรคลมชักแทรกซ้อนตามมา ซึ่งจำเป็นต้องกินยากันชักควบคุมอาการตลอดไป


การดูแลตนเอง

หากอยู่ ๆ มีอาการแขนขาซีกหนึ่งชาหรืออ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ หรือมีอาการปวดศีรษะรุนแรงหรือปวดศีรษะซีกเดียวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แล้วก็มีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ได้ แขนขาค่อย ๆ อ่อนแรง อาจชักและหมดสติในเวลารวดเร็ว ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (สโตรก) หรือโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดชั่วขณะ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

เมื่อได้รับการรักษาจนสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ดูแลรักษา กินยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินอาหารสุขภาพ (ลดอาหารหวาน มัน เค็ม) ลดน้ำหนัก (ถ้าน้ำหนักเกิน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หาทางผ่อนคลายความเครียด (เช่น สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ) เคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกำลังกาย (เท่าที่ร่างกายจะอำนวย)
    ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    หลีกเลี่ยงการซื้อยา สมุนไพร อาหารเสริมมาใช้เอง หากจะใช้ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลดีและความปลอดภัย เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้ตับอักเสบหรือไตเสื่อมได้ หรืออาจมีปฏิกิริยากับยาที่รักษา (เสริมหรือต้านฤทธิ์ยา) เกิดผลเสียต่อการควบคุมโรคหรือเกิดผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตราย (เช่น เลือดออก น้ำตาลในเลือดต่ำ) ได้
    ฝึกทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์/นักกายภาพบำบัด เช่น พยายามบริหารข้อโดยการเหยียดและงอแขนขาตรงทุก ๆ ข้อต่อบ่อย ๆ เพื่อป้องกันมิให้ข้อเกร็งแข็ง, หมั่นบริหารกล้ามเนื้อ และพยายามใช้แขนขาเพื่อให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น (ถ้าผู้ป่วยนอนเฉย ๆ ไม่พยายามใช้แขนขา กล้ามเนื้อก็จะลีบและข้อแข็ง) ฝึกเดิน ฝึกพูด ฝึกเขียนหนังสือ
    ในกรณีที่นอนติดเตียง ควรใช้ที่นอนที่ลดแรงกดทับ (เช่น ที่นอนน้ำ ที่นอนลม) และผู้ดูแลควรทำการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันแผลกดทับ (bed sores) ที่ก้น หลัง ข้อต่าง ๆ
    ให้อาหารและน้ำให้เพียงพอ บางรายอาจต้องป้อนทางสายยาง (ที่ใส่ผ่านจมูกหรือหน้าท้องเข้าไปที่กระเพาะอาหาร) ถ้าขาดน้ำ ผู้ป่วยจะซึม หรืออาการเลวลง ระมัดระวังในการป้อนอาหารแก่ผู้ป่วย อย่าให้สำลัก
    ถ้ามีสายสวนปัสสาวะ หรือสายป้อนอาหาร ควรดูแลให้สะอาดปลอดภัย และคอยเปลี่ยนสายใหม่ตามคำแนะนำของแพทย์/พยาบาล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หนาวสั่น ท้องเดิน อาเจียน ปัสสาวะขุ่นหรือมีเลือดปน
    ปวดศีรษะรุนแรง สับสน ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว ชัก หรือหายใจหอบหรือลำบาก
    กินอาหาร หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มีแผลกดทับเกิดขึ้น
    ยาหาย ขาดยา หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
    มีความวิตกกังวล


การป้องกัน

    งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด ลดเกลือและน้ำตาล ลดอาหารที่มีไขมันมาก ลดน้ำหนัก (ถ้าอ้วน) และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันมิให้มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งเร็ว
    ตรวจเช็กความดันโลหิต เบาหวาน ภาวะไขมันในเลือด ถ้ามีภาวะผิดปกติควรรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เมื่อควบคุมโรคเหล่านี้ได้ ก็จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
    ถ้ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรทำการรักษา รวมทั้งควบคุมปัจจัยเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนของภาวะนี้ (เช่น ภาวะอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน) เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
    ถ้าเคยมีอาการแขนขาอ่อนแรงชั่วคราวจากสมองขาดเลือดชั่วขณะ (TIA) ควรรีบปรึกษาแพทย์ ดูแลรักษาและกินยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคสโตรกจากลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมอง
    ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจรูมาติก ผู้ป่วยผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นต้น ควรดูแลรักษา และกินยาแอสไพรินหรือยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือดตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันมิให้เกิดลิ่มเลือดที่หัวใจแล้วหลุดลอยไปอุดตันในหลอดเลือดสมอง

6
การจัดฟันเด็ก ช่วยลดความรุนแรงของปัญหาฟันได้

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป้นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะพ่อแม่ ผู้ปกครองมีหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะขณะที่เด็กอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านทั้งตอนเช้าก่อนมาโรงเรียน ตอนเย็นหลังเลิกเรียน และวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่เด็กจะได้อยู่ร่วมกับพ่อแม่ที่บ้าน ดังนั้น พ่อแม่มีหน้าที่ส่งเสริมการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันให้กับเด็ก อย่างเช่น การดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย รวมไปถึงวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กมีปัญหาฟันผุ ตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่อยู่ในช่วงของการมีฟันน้ำนม พ่อแม่ส่วนใหญ่มองว่า ฟันน้ำนมของลูกนั้น ไม่มีความสำคัญ

เพราะคิดว่า ยังไงก็ต้องหลุดออกไปและมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ แต่นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะถ้าเด็กมีปัญหาฟันผุตั้งแต่ในช่วงฟันน้ำนม ก็อาจจะทำให้ฟันน้ำนมหลุกก่อนกำหนดได้ นั่นหมายความว่า จะส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ อาจจะทำให้ฟันมีลักษณะการขึ้นที่ผิดปกติ มีการสบฟันที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดปัญหารุนแรงตามมาในอนาคต เด็กบางคนมีปัญหาฟันรุนแรงมาก ซึ่งวิธรการแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งถือว่าเป็นการจัดฟันในเด็กที่สามารถแก้ไขฟันได้แทบทุกกรณี และยังส่งผลดีต่อโครงสร้างของใบหน้าอีกด้วย และที่สำคัญช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ช่วยลดความรุนแรงของปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว เพื่อให้บุตรหลานของท่านมีภูมิคุ้มกันและรู้จักวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้อง

วันนี้เราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็ก ที่สามารถช่วยลดความรุนแรงของปัญหาฟันของลูกน้อยได้ แต่ก่อนอื่นเราจะมาอธิบายในเรื่องของการจัดฟันในเด็กก่อนว่า ในปัจจุบันนี้เด็กในวัยประถมก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้แล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาบุตรหลานของท่านที่มีอายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น แนะนำให้พาเด็กอายุ 7-10 ปี ไปตรวจกับทันตแพทย์จัดฟัน เพราะหากพบปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เด็กวัยนี้ก็สามารถจัดฟันได้แล้ว และเด็กในวัยนี้สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ในการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็กได้เป็นอย่างดี


ทั้งนี้ การจัดฟันในเด็ก ยังสามารถช่วยทำให้ปัญหาในเรื่องของฟัน ลักษณะฟัน หรือแม้กระทั่งการสบฟันที่มีความผิดปกติที่อาจจะเกิดจากพฤติกรรมในวัยเด็ก ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กที่มีอายุต่ำว่า 10 ปี มักเป็นการจัดฟันบางส่วน มีจุดประสงค์ในการจัดฟันก็เพื่อการรักษาเฉพาะบริเวณ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในเบื้องต้น หรือช่วยลดความรุนแรงของปัญหา ซึ่งเมื่อเด็กโตพอ ก็มักจะต้องจัดฟันทั้งปากต่อไปได้ แต่ต้องบอกว่า เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้โต เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคต หากปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะปัญหาในเรื่องของฟัน เราจะต้องรีบแก้ไข เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาต่อฟันบริเวณข้างเคียงได้

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจอยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถพาบุตรหลานของท่านมาเข้ารับการตรวจสุขภาพฟันเบื้องต้นได้ที่คลินิก เพระทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมในเด็ก มีประสบการณ์ในวงการทันตกรรมมาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะทางเราให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง สามารถแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็กได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กได้ทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีและสะอาดมากที่สุด เพราะเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกค้าทุกคน เพื่อที่จะได้มีช่องปากและฟันที่สะอาด มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

7
Doctor At Home: มาลาเรีย (Malaria)

มาลาเรีย (ไข้มาลาเรีย ไข้จับสั่น* ไข้ป่า ก็เรียก) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในบ้านเรา มักพบในบริเวณที่เป็นป่าเขา จึงพบได้แทบทุกภาคของประเทศ (ยกเว้นกรุงเทพฯ ในบริเวณที่เป็นตัวจังหวัด ตัวอำเภอ และที่ ๆ เป็นทุ่งนากว้างห่างจากป่าเขา)

เชื้อที่ทำให้เป็นไข้มาลาเรียมีอยู่หลายชนิด แต่ที่สำคัญในบ้านเรามี 2 ชนิด คือ พลาสโมเดียมฟาลซิพารัม (Plasmodium falciparum) กับ พลาสโมเดียมไวแวกซ์ (Plasmodium vivax)

มาลาเรียชนิดฟาลซิพารัม พบได้ประมาณร้อยละ 50-80 มักมีปัญหาดื้อยาและมีภาวะแทรกซ้อนได้มาก (เช่น มาลาเรียขึ้นสมอง ไตวาย) เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

มาลาเรียชนิดไวแวกซ์ พบได้ร้อยละ 20-50 มักไม่ดื้อยา และมีภาวะแทรกซ้อนน้อย เชื้อนี้สามารถหลบซ่อนอยู่ในตับได้นาน ๆ ทำให้มีอาการกำเริบได้บ่อย โดยที่ไม่ต้องได้รับเชื้อใหม่ (จากการถูกยุงก้นปล่องกัด)

มักมีประวัติว่าอยู่ในเขตป่าเขา หรือกลับจากเขตที่มีมาลาเรีย เช่น ชลบุรี จันทบุรี ระยอง ตราด ตากอุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ยะลา นครนายก ปราจีนบุรี สระบุรี ปากช่อง นครราชสีมา ชัยภูมิ ศรีสะเกษ สกลนคร ขอนแก่น เลย เพชรบูรณ์ แพร่ น่าน เชียงราย แม่ฮ่องสอน เป็นต้น หรือเคยได้รับเลือด หรือเคยเป็นไข้มาลาเรียมาก่อน


*ในบ้านเราผู้ที่มีไข้หนาวสั่นมากหรือมีไข้นานหลายวัน เมื่อตรวจร่างกายไม่พบอาการอย่างอื่นชัดเจน หรือพบเพียงตับโตม้ามโต พึงนึกถึงมาลาเรีย ไทฟอยด์ สครับไทฟัส และเล็ปโตสไปโรซิสไว้เสมอ

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อมาลาเรีย ซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียว หรือโปรโตซัว (protozoa) เช่นเดียวกับบิดอะมีบา มียุงก้นปล่อง (anopheles) เป็นพาหะนำโรค คือต้องถูกยุงที่มีเชื้อมาลาเรียกัดจึงจะเป็นโรค

ระยะฟักตัว

ชนิดฟาลซิพารัม 9-14 วัน (เฉลี่ย 12 วัน)

ชนิดไวแวกซ์ 12-17 วัน (เฉลี่ย 15 วัน) อาจนาน 6-12 เดือน

ถ้าเกิดจากการให้เลือด อาจมีระยะฟักตัวสั้นกว่านี้ ถ้ามีการกินยาป้องกันมาลาเรียก็อาจมีระยะฟักตัวยาวกว่านี้

โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดกับผู้ที่อยู่หรือเข้าไปในเขตป่าเขาแล้วถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อมาลาเรียกัด ส่วนผู้ที่อยู่ในเมืองและไม่มีประวัติเดินทางเข้าไปในเขตป่าเขา อาจติดเชื้อจากการได้รับเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อมาลาเรีย หรือได้รับเชื้อที่สนามบิน เนื่องจากยุงก้นปล่องอาจติดมากับเครื่องบินโดยบังเอิญ (ซึ่งมีโอกาสพบได้น้อยมาก)

วงจรชีวิตของเชื้อมาลาเรีย

1. เมื่อยุงก้นปล่องตัวเมียกัดคน ยุงจะปล่อยเชื้อระยะติดต่อที่มีชื่อว่า สปอโรซอยต์ (sporozoite) ที่มีอยู่ในน้ำลายเข้าสู่กระแสเลือดของคนแล้วเดินทางไปที่ตับ

2. เชื้อที่อยู่ในเซลล์ตับ จะเจริญและแบ่งตัวแบบไร้เพศ (ไม่ต้องผสมพันธุ์) กลายเป็นเชื้อที่มีชื่อ สคิซอนต์ (schizonte) ซึ่งภายในเซลล์มีเชื้อระยะที่แบ่งตัวแล้วที่มีชื่อว่า เมโรซอยต์ (merozoite) จำนวนมาก เชื้อจะอยู่ในเซลล์ตับนาน 5-15 วัน

เซลล์ตับที่มีเชื้อมาลาเรียอยู่จะโตขึ้นและแตกออก ปล่อยเชื้อเมโรซอยต์ออกมาในกระแสเลือด

สำหรับมาลาเรียชนิดพลาสโมเดียมไวแวกซ์ เชื้อบางส่วนยังคงหลบอยู่ในเซลล์ตับต่อไป ซึ่งเรียกว่า ฮิปโนซอยต์ (hypnozoite) และจะออกมาในกระแสเลือดเป็นครั้งคราว ทำให้มีอาการกำเริบซ้ำ ๆ ได้บ่อยโดยไม่ได้ติดเชื้อจากการถูกยุงก้นปล่องกัดครั้งใหม่

3. เชื้อเข้าสู่เม็ดเลือดแดง เจริญเป็นเชื้อระยะที่เรียกว่า โทรโฟซอยต์ (trophozoite)

4. ประมาณ 48 ชั่วโมงต่อมา เชื้อจะแบ่งตัวแบบไร้เพศอีกครั้ง และเม็ดเลือดแดงแตกออก ทำให้ได้เมโรซอยต์ 6-30 ตัว ซึ่งสามารถเดินทางเข้าสู่เม็ดเลือดแดงอื่น ๆ ต่อไป

ระยะที่เม็ดเลือดแดงแตก ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ หนาวสั่น

5. ขณะเดียวกัน เชื้อบางส่วนจะเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์เพศ (gametocyte) ซึ่งแบ่งเป็นตัวผู้กับตัวเมีย

6. เมื่อยุงก้นปล่องตัวเมียมากัดคนที่มีเชื้อมาลาเรียระยะที่เป็นเซลล์เพศในกระแสเลือด เซลล์เพศตัวผู้กับตัวเมียก็จะผสมกันเป็นตัวอ่อน (zygote) อยู่ในลำไส้ส่วนกลางของยุง ซึ่งจะเจริญต่อไปจนเป็นตัวแก่ (oocyst) ฝังตัวอยู่ในลำไส้ แล้วเชื้อตัวแก่จะแบ่งตัวเจริญต่อไปเป็นสปอโรซอยต์ ซึ่งจะเดินทางไปที่ต่อมน้ำลาย เพื่อรอแพร่เข้าสู่คน เมื่อยุงไปกัดคน

 

อาการ

อาการจะเกิดหลังจากได้รับเชื้อโดยถูกยุงก้นปล่องกัดประมาณ 9-17 วัน (แต่อาจนานหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนก็ได้) ใน 2-3 วันแรกอาจมีอาการไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่ อาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเดินร่วมด้วย ต่อมาจึงจะมีอาการไข้จับสั่นเป็นเวลา* ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของมาลาเรีย

อาการจับไข้ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

1. ระยะหนาวสั่น มีอาการหนาวสั่นมากและไข้เริ่มขึ้น ปวดศีรษะ ผิวหนังซีด อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ระยะนี้กินเวลา 20-60 นาที

2. ระยะร้อน ไข้ขึ้นสูงประมาณ 40 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะมาก อาจปวดลึกเข้าไปในกระบอกตาหน้าแดง ตาแดง กระสับกระส่าย เพ้อ กระหายน้ำ ชีพจรเต้นเร็ว อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ในเด็กอาจชักได้ กินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง (อาจนาน 3-8 ชั่วโมง)

3. ระยะเหงื่อออก จะมีเหงื่อออกชุ่มทั้งตัว ไข้จะลดลงเป็นปกติ แต่จะรู้สึกอ่อนเพลียและหลับไป กินเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ผู้ป่วยมาลาเรียชนิดไวแวกซ์ มักจับไข้วันเว้นวัน หรือทุก 48 ชั่วโมง เวลาไม่จับไข้จะรู้สึกสบายดี มักจะคลำได้ม้ามโตในปลายสัปดาห์ที่ 2 ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะมีไข้วันเว้นวันอยู่ประมาณ 6 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน (หรืออาจนานกว่านั้น) แล้วจะหายไปเอง ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกต้อง แม้ว่าไข้จะหายไปแล้ว แต่ก็อาจกลับเป็นได้ใหม่หลังจากหายไป 2-3 สัปดาห์ หรือ 2-3 เดือน แต่อาการจะน้อยกว่าครั้งแรก ผู้ป่วยอาจมีอาการกำเริบเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย และมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง บางรายอาจกินเวลานานถึง 2-3 ปีกว่าจะหายขาด จึงเรียกว่า มาลาเรียเรื้อรัง

ผู้ป่วยมาลาเรียชนิดฟาลซิพารัม มักจับไข้ทุกวัน หรือทุก 36 ชั่วโมง แต่อาจจับไม่เป็นเวลา อาจจับทั้งวันหรือวันละหลายครั้ง ระยะไม่จับไข้ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบาย และอาจมีไข้ต่ำ ๆ อยู่เรื่อย บางรายอาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดินร่วมด้วย ม้ามจะโตในวันที่ 7-10 ของไข้ ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ไข้จะลงภายใน 3-5 วัน ถ้ารักษาไม่ถูกต้อง อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงตายได้ จึงเรียกว่า มาลาเรียชนิดร้ายแรง

*การจับไข้หนาวสั่นเกิดขึ้นเมื่อมีการแตกของเม็ดเลือดแดงที่มีเชื้อมาลาเรีย ทำให้มีการหลั่งสารหลายชนิด ก่อให้เกิดอาการไข้และอาการอื่น ๆ


ภาวะแทรกซ้อน

พบในมาลาเรียชนิดฟาลซิพารัม มักเกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ขาดอาหาร ร่างกายอ่อนแอ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่ไม่เคยอยู่ในแดนมาลาเรีย) หรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่

    มาลาเรียขึ้นสมอง (cerebral malaria) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะมาก ซึม สับสน ชักกระตุกทั้งตัว หมดสติ มีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 20 (ในหญิงตั้งครรภ์อาจสูงถึงร้อยละ 50)
    อาการชักโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง ซึ่งอาจพบในเด็กที่เป็นมาลาเรีย
    ภาวะไตวายเฉียบพลันเนื่องจากการอุดตันหลอดเลือดแดงฝอยที่ไต ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย พบในผู้ใหญ่มากกว่าในเด็ก มีอัตราตายสูง
    ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ป่วยจะมีอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น เหงื่อออก มักพบในเด็กและหญิงตั้งครรภ์
    ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) มีอาการหอบ ฟังปอดได้ยินเสียงกรอบแกรบ
    ดีซ่าน (ตาเหลืองตัวเหลือง) และตับโต มักพบร่วมกับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น มาลาเรียขึ้นสมอง ไตวายเฉียบพลัน ปอดบวมน้ำ เป็นต้น
    ภาวะเลือดเป็นกรด ซึ่งมักจะพบร่วมกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
    ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ
    ภาวะการเสียดุลน้ำและอิเล็กโทรไลต์
    โลหิตจาง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตกง่าย และไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงขึ้นชดเชยได้ไม่ทัน

ในกรณีที่เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการซีด เหลือง และปัสสาวะดำ เรียกว่า ไข้ปัสสาวะดำ (black water fever) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่ใช้ยาควินิน ภาวะนี้อาจทำให้เกิดไตวายแทรกซ้อนได้

    ภาวะเลือดจับเป็นลิ่มทั่วร่างกาย (DIC) ทำให้มีเลือดออกทั่วร่างกายรุนแรง เป็นอันตรายถึงตายได้
    ในหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นมาลาเรีย นอกจากมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวแล้ว ยังอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ เช่น แท้งบุตร ทารกเสียชีวิต ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักน้อย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ไข้ประมาณ 40 องศาเซลเซียส หน้าแดง ตาแดง ม้ามโต (คลำได้ในปลายสัปดาห์ที่ 2 หลังมีไข้) อาจมีตับโต เริมที่ริมฝีปาก อาจมีอาการซีดเหลือง หรือปัสสาวะแดงเข้มหรือปัสสาวะดำเหมือนน้ำโคล่า

แต่ก็อาจไม่พบอะไรมากนอกจากไข้ก็ได้

ในเด็กที่เป็นเรื้อรัง อาจมีลักษณะพุงโรก้นปอด ขาดอาหาร ซีด ม้ามโต

ในรายที่เป็นมาลาเรียขึ้นสมอง จะมีอาการเพ้อ ชัก ไม่รู้สึกตัว หรือหมดสติ*

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือดหาเชื้อมาลาเรียด้วยวิธีต่าง ๆ

*ชาวบ้านบางแห่งอาจเข้าใจว่าเป็นอาการของผีเข้า พาไปรดน้ำมนต์ไล่ผี หรือทำพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งอาจเสียชีวิต เพราะขาดการรักษาอย่างทันการณ์

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ก. สำหรับมาลาเรียชนิดฟาลซิพารัม ให้ยารักษามาลาเรียขนานใดขนานหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ควินิน ร่วมกับเตตราไซคลีน หรือร่วมกับดอกซีไซคลีน
    เมโฟลควีน เพียงอย่างเดียว
    เมโฟลควีน ร่วมกับเตตราไซคลีน หรือดอกซีไซคลีน
    อาร์ทีซูเนต เพียงอย่างเดียว
    อาร์ทีซูเนต ร่วมกับเมโฟลควิน

ข. สำหรับมาลาเรียชนิดไวแวกซ์ ให้คลอโรควีน หลังจากนั้นให้ไพรมาควีน เพื่อกำจัดเชื้อมาลาเรียที่หลบซ่อนอยู่ในตับให้หมดไป

ถ้ามีอาการสงสัยเป็นมาลาเรียขึ้นสมอง (เช่น ซึม เพ้อ ชัก หรือหมดสติ) หรือมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ซีดมาก ดีซ่าน ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย หอบ เป็นต้น

จำเป็นต้องรับผู้ป่วยรักษาไว้ในโรงพยาบาล (ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ให้น้ำเกลือ ให้เลือด ล้างไต เป็นต้น) ส่วนยามาลาเรียในระยะแรกอาจต้องให้ควินินหรืออาร์ทีซูเนตฉีดเข้าหลอดเลือดดำ จนกว่าอาการจะดีขึ้นจึงเปลี่ยนเป็นยากิน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูง หนาวสั่นมาก มีไข้วันเว้นวัน หรือมีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมาลาเรีย ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไข้ไม่ทุเลาใน 2-3 วัน หรือไข้ลดแล้วต่อมากลับมีไข้กำเริบใหม่
    มีอาการปวดศีรษะมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อ ชัก หายใจหอบ ซีด ตัวเหลืองตาเหลือง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หรือปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. เมื่อต้องเดินทางเข้าไปในเขตป่าเขา ควรป้องกันไม่ให้ยุงก้นปล่องกัด โดยการนอนกางมุ้ง ทายากันยุง

2. ยาที่ใช้ป้องกันตามที่เคยแนะนำในอดีตนั้นพบว่าไม่ได้ผลมากนัก ในปัจจุบันจึงไม่แนะนำให้กินยาป้องกันล่วงหน้า แต่แนะนำว่า ถ้าออกจากป่าแล้วมีอาการไข้ หรือสงสัยเป็นมาลาเรีย ให้รีบทำการตรวจรักษา หรือในกรณีที่ต้องเข้าไปอยู่ในป่าที่เป็นถิ่นที่มีเชื้อมาลาเรียดื้อต่อยาหลายชนิดเป็นเวลานานเกิน 2 สัปดาห์ (ซึ่งเป็นระยะฟักตัวของโรค) ก็ควรพกยารักษามาลาเรีย (ได้แก่ ควินิน เมโฟลควีน หรืออาร์ทีซูเนต) ไว้สำรองใช้ในยามฉุกเฉินเมื่อไม่สามารถตรวจเลือดได้ โดยใช้ในขนาดที่ใช้รักษามาลาเรีย

ข้อแนะนำ

1. อาการของมาลาเรีย อาจไม่ตรงไปตรงมา ผู้ป่วยอาจมีไข้สูงโดยไม่มีอาการหนาวสั่น หรือหนาวสั่นวันละหลายครั้งก็ได้ บางรายอาจมีไข้สูงตลอดเวลา อาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ซึ่งอาการเหล่านี้อาจพบในโรคอื่น ๆ ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการไข้ทุกราย ควรถามถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อมาลาเรีย ถ้าพบว่าผู้ป่วยมีประวัติเข้าป่า หรือมีประวัติเคยได้รับเลือดมาภายใน 2 สัปดาห์ ถึง 2 ปี หรือสงสัยว่าจะเป็นมาลาเรียจากการติดเชื้อทางอื่น (เช่น ลูกที่เกิดจากมารดาที่เคยเป็นมาลาเรีย เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการเลี้ยงยุงก้นปล่อง เจ้าหน้าที่ที่ตรวจเลือด หรือบุคคลที่บ้านอยู่ใกล้สนามบิน ซึ่งเครื่องบินอาจนำยุงก้นปล่องมาจากประเทศอื่น เป็นต้น) ก็ควรจะต้องเจาะเลือดตรวจหาเชื้อมาลาเรีย

2. ผู้ป่วยมาลาเรีย อาจตรวจเลือดไม่พบเชื้อก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นโรคในระยะแรก ๆ (เชื้อมาลาเรียมีจำนวนน้อย) ดังนั้น ต้องแนะนำให้ผู้ป่วยตรวจเลือดซ้ำอีกครั้งภายใน 12-24 ชั่วโมง หรือขณะมีไข้ การตรวจเลือดบ่อย ๆ จะมีโอกาสพบเชื้อได้มากขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยที่กินยาป้องกันมาลาเรียมาก่อน หรือกินยารักษามาบ้างแล้ว ก็จะทำให้ตรวจพบเชื้อมาลาเรียได้ลำบากมากขึ้น เพราะจะเห็นเชื้อมาลาเรียไม่ชัดเจน ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยมีไข้และมีประวัติสงสัยติดเชื้อมาลาเรีย แม้ตรวจเลือดไม่พบเชื้อ ก็ควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและตรวจเลือดบ่อย ๆ อาจจำเป็นต้องรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลเพื่อการตรวจวินิจฉัยที่ชัดเจน

3. ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วหากมีไข้กำเริบภายใน 2 เดือนโดยไม่มีประวัติติดเชื้อครั้งใหม่ อาจมีสาเหตุจากการติดเชื้อมาลาเรียทั้งชนิดฟาลซิพารัมและชนิดไวแวกซ์พร้อมกัน (พบได้ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อฟาลซิพารัม) แต่ได้รับการรักษาแบบชนิดฟาลซิพารัม จึงมีเชื้อชนิดไวแวกซ์หลบซ่อนอยู่ในตับ เกิดอาการกำเริบได้ หรือไม่ก็อาจเกิดจากได้ยาไม่ครบหรือเชื้อดื้อยา ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยมีอาการไข้กำเริบภายใน 2 เดือนหลังจากหายจากมาลาเรียครั้งแรกแล้ว ควรต้องเจาะเลือดตรวจหาเชื้ออีก

4. ผู้ป่วยควรกินยาให้ครบ ถ้าไม่ครบจะมีโอกาสเป็นไข้มาลาเรียกำเริบได้อีก ส่วนการกินยารักษามาลาเรีย ไม่ควรกินขณะจับไข้หนาวสั่น ผู้ป่วยอาจอาเจียนและได้ยาไม่ครบขนาด ควรให้ยาแก้ไข้หรือยาแก้อาเจียนนำไปก่อนสัก 1/2-1 ชั่วโมง เมื่ออาการไข้ทุเลาจึงให้ยารักษามาลาเรีย และหลังจากนั้นควรให้ผู้ป่วยนอนพักสัก 1-2 ชั่วโมง ไม่ควรลุกหรือเดินทันที เพราะอาจเกิดอาการเวียนหัว (ความดันโลหิตต่ำ) และอาเจียนได้

5. ผู้ป่วยที่มีอาการไข้และหนาวสั่นมาก ถ้าไม่ได้ประวัติติดเชื้อมาลาเรีย (เช่น ไม่ได้เข้าป่า หรือรับเลือด) อาจมีสาเหตุจากโรคอื่นก็ได้ ที่พบได้บ่อยก็คือ กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน นอกนั้นก็อาจมีสาเหตุจากโรคปอดอักเสบระยะ 24 ชั่วโมงแรก ท่อน้ำดีอักเสบ สครับไทฟัส เล็บโตสไปโรซิส โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น จึงควรตรวจดูอาการให้ถ้วนถี่ด้วย

8
บริการรถรับจ้างขนย้ายบ้านนราธิวาส และข้อจำกัดในการใช้บริการรถรับจ้างขนของนราธิวาส

บริการรถรับจ้างขนของจังหวัดนราธิวาส เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในกระบวนการขนส่งสินค้าและส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจในพื้นที่นี้ โดยบริการดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะและต้องการการบริหารจัดการที่พิถีพิถัน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในภูมิภาคที่มีลักษณะพิเศษดังนี้รถกระบะรับจ้างขนสินค้าออนไลน์

    ขนส่งของทั่วไป : บริการรถรับจ้างขนของนราธิวาส มีบทบาทสำคัญในการขนส่งสินค้าทั่วไป ทั้งวัสดุก่อสร้าง วัสดุอุตสาหกรรม สินค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และอื่น ๆ
    ขนส่งสินค้าที่ต้องการความระมัดระวัง : การขนส่งสินค้าที่อาจมีความไวและต้องการความระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น สินค้าที่ต้องการการเก็บรักษาอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาคุณภาพของสินค้า
    บริการขนส่งสินค้าทางการแพทย์ : การขนส่งสินค้าทางการแพทย์ เช่น เครื่องมือแพทย์ ยาและวัสดุการแพทย์มีความสำคัญ เนื่องจากการให้บริการด้านนี้เกี่ยวข้องกับสุขภาพและชีวิตของคน
    ขนส่งสินค้าที่ต้องการการรักษาความเย็นหรือความร้อน : บางสินค้าอาจมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ทำให้บริการรถรับจ้างต้องมีความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิในรถ
    บริการด่วน : บริการรถรับจ้างขนของที่มีความสามารถในการให้บริการด่วนมีความสำคัญ เนื่องจากบางครั้งลูกค้าอาจต้องการให้สินค้าถึงที่ไวทันในกรณีฉุกเฉิน
    บริการรถรับจ้างที่ปลอดภัย : การป้องกันความเสี่ยงและความปลอดภัยของสินค้าที่ขนส่งเป็นสิ่งสำคัญ โดยบริการรถรับจ้างต้องมีมาตรฐานและมีการป้องกันความเสี่ยงที่เป็นไปได้
    บริการตามท้องถิ่น : การทำความเข้าใจและปรับตัวตามความต้องการและวัฒนธรรมท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญ เพื่อให้บริการที่เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าในพื้นที่
    การให้บริการทางเทคโนโลยี : การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการจัดการและติดตามการขนส่งเพื่อความสะดวกและประสิทธิภาพ
    การให้บริการที่มีความยืดหยุ่น : การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายโดยการมีความยืดหยุ่นในการให้บริการ
    การให้บริการตามมาตรฐานและคุณภาพ : การให้บริการตามมาตรฐานและคุณภาพที่สูงสุดเพื่อสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่ใช้บริการ

   
ข้อจำกัดในการใช้บริการรถรับจ้างขนของนราธิวาส

    ความจำเป็นของสภาพถนน : สภาพถนนในบางพื้นที่อาจไม่เป็นไปตามมาตรฐานหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการเดินทางที่ต้องคำนึงถึง เช่น ถนนรางบังคับที่ไม่สามารถให้บริการรถรับจ้างได้ดี
    ปัญหาด้านนโยบายและกฎหมาย : มีข้อจำกัดหลายประการที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและกฎหมายท้องถิ่นหรือแม้กระทั่งการข้ามแดน ซึ่งอาจส่งผลให้บริการรถรับจ้างต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อจำกัดที่กำหนดไว้
    ปัญหาด้านความปลอดภัย : บริการรถรับจ้างขนของในพื้นที่ชายแดนมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยที่สูง เนื่องจากสภาพการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง
    ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ : บางพื้นที่ที่ลอยน้ำหรือมีสภาพภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อนอาจทำให้การเดินทางด้วยรถรับจ้างขนของมีข้อจำกัด
    ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม : บางครั้งการขนส่งของอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการปลดปล่อยมลพิษหรือการใช้พลังงานที่มีผลกระทบ
    ความจำเป็นในการปรับตัว : บริการรถรับจ้างต้องปรับตัวกับสถานการณ์และความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลาย
    ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี : การให้บริการรถรับจ้างอาจมีข้อจำกัดทางเทคโนโลยีที่สามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพและการบริการ
    ปัญหาด้านการจัดการ : บริการรถรับจ้างต้องมีการจัดการที่ดีเพื่อให้บริการที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ
    ความจำเป็นในการระบุข้อมูลของสินค้า : บริการรถรับจ้างขนของต้องการข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสินค้าที่จะขนพร้อมกับเอกสารที่เป็นที่ต้องการ
    ปัญหาในการควบคุมต้นทุน : การควบคุมต้นทุนในการให้บริการรถรับจ้างขนของอาจเป็นที่ท้าทายเนื่องจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในกระบวนการการขนส่ง


รับจ้างขนของ

    บริการรถรับจ้างขนของนราธิวาส บริการ รถกระบะ รถหกล้อ

บริการรถรับจ้างขนของจังหวัดนราธิวาส เสนอบริการหลายประเภทเพื่อตอบสนองต่อความต้องการขนส่งที่หลากหลายในพื้นที่นี้ บริการรถรับจ้างขนของทั้ง รถกระบะ และ รถหกล้อ มีลักษณะเด่นต่าง ๆ ดังนี้


รถกระบะ

    ความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่ : รถกระบะมีขนาดเล็กและค่อนข้างคับเข้าถึงพื้นที่ได้ง่าย ทำให้เหมาะสำหรับการขนส่งในพื้นที่ที่มีทางเข้าทางออกจำกัดหรือแคบ
    การขนส่งสินค้าขนาดเล็กถึงกลาง : รถกระบะเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าที่มีขนาดเล็กถึงกลาง เช่น กล่องของ วัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก หรือสินค้าอื่น ๆ ที่มีน้ำหนักไม่มาก
    ความยืดหยุ่นในการให้บริการ : รถกระบะมีความยืดหยุ่นในการให้บริการและสามารถเข้าถึงพื้นที่หลายแห่งได้ ทำให้เหมาะสำหรับความต้องการที่มีความเร่งด่วน


รถหกล้อ

    ความจุขนส่งมาก : รถหกล้อมีความจุขนส่งมากกว่ารถกระบะ ทำให้เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าที่มีปริมาณมากหรือขนาดใหญ่
    ขนส่งสินค้าหนัก : รถหกล้อเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก เช่น วัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ วัสดุที่มีน้ำหนักหนาแน่น
    ความเสถียรและประสิทธิภาพ : รถหกล้อมีความเสถียรและประสิทธิภาพในการขนส่งทางไกลหรือในสภาพทางถนนที่ต้องการความทนทาน

การให้ บริการรถรับจ้างขนของนราธิวาส นี้จึงเป็นทางเลือกที่หลากหลายและเหมาะสำหรับความต้องการทางการค้าและธุรกิจในพื้นที่นี้ที่มีลักษณะพิเศษ

เพื่อความสะดวกและประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าของคุณที่จะถึงที่ตั้งในจังหวัดนราธิวาส เราขอเสนอบริการรถรับจ้างที่ครบวงจรและประทับใจ ทำให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับความต้องการของธุรกิจและการค้าขายของคุณ

    ความหลากหลายในบริการ : เราให้บริการทั้งรถกระบะและรถหกล้อ ตอบสนองทุกรูปแบบขนส่งสินค้า ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ และสามารถปรับตัวตามความต้องการของคุณได้ในทุกๆ ช่วงเวลา
    ความปลอดภัยและเสถียร : ความปลอดภัยของสินค้าคือความห่วงใยของเรา รถของเราได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอและมีการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อให้คุณมั่นใจในการขนส่ง
    ความเร่งด่วนและตรงเวลา : เราทราบถึงความสำคัญของเวลาในการขนส่งสินค้า ดังนั้นเราทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้บริการที่รวดเร็วและตรงต่อเวลา
    บริการทั่วไป : ไม่ว่าคุณจะต้องการขนส่งสินค้าทางการเกษตร อุตสาหกรรม หรือสินค้าทั่วไป เรามีความเชี่ยวชาญในการให้บริการในทุกรูปแบบ
    ความเป็นมืออาชีพ : ทีมงานของเรามีประสบการณ์และความเข้าใจทางธุรกิจเพื่อให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าทุกท่าน

รถ 6 ล้อรับจ้างขนของ ต่างจังหวัด

เมื่อคุณเลือก บริการรถรับจ้างขนของเรา คุณได้รับหลายประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมที่จะสร้างประสบการณ์การขนส่งที่สมบูรณ์แบบและน่าจดจำ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของธุรกิจของคุณไปพร้อมกับบริการขนส่งที่ครบวงจรและประทับใจของเรา

9
รถขนของไปต่างจังหวัด รถกระบะรับจ้างทองหล่อราคาที่นี้ถูกที่สุด

เมื่อใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่หรือเทศกาลต่างๆ หากท่านไหนที่กำลังมองหา รถกระบะรับจ้างทองหล่อ เพื่อทำการขนย้ายที่พัก  ขนย้ายบ้าน ขนย้ายหอ ขนย้ายอพาร์ทเม้น ขนย้ายมอเตอร์ไซต์ ขนย้ายห้อง ขนย้ายสำนักงาน ขนย้ายสินค้าออกบูธ ขนย้ายสินค้าต่างๆ ทางเรายินดีให้บริการตลอดทุกช่วงฤดูกาลจาก รถรับจ้าง ไม่ว่าจะเทศกาลไหนๆเราเปิดให้บริการตลอด 24ชม.  มาพร้อมโปร ลดแหลก แจกจริง ตลอดรถเที่ยวขากลับลดถึง 35% แจกของสัมนาคุณสำหรับผู้ที่ใช้บริการรถรับจ้างของเรา  เราจะจัดโปรในช่วงเดือน ธันวาคมไปถึงปลายเดือน ไม่ว่าทุกท่านจะอยู่ในเขตพื้นที่ไหนๆเรามี รถกระบะรับจ้างขนของทองหล่อ ให้บริการครอบคลุมในทั่วทุกพื้นที่ในเขตกรุงเทพ

รถรับจ้างทองหล่อ มีทั้ง รถกระบะรับจ้างทองหล่อ รถสี่ล้อรับจ้างทองหล่อ รถสี่ล้อใหญ่รับจ้างทองหล่อ รถปิ๊คอัพรับจ้างทองหล่อ รถ4ล้อรับจ้างทองหล่อ รถรับจ้าง4ล้อทองหล่อ รถรับจ้างย้ายบ้านทองหล่อ รถขนของทองหล่อ และรถอื่นๆ ที่มีหลากหลายขนาดให้เลือกตามความเหมาะสมสำหรับการใช้งานขนย้ายของต่างๆ ด้วยราคาถูกและการบริการที่ดี มาพร้อมบริการคนยกของที่มีความเป็นมืออาชีพทุกท่านต้องการคนยกของกี่คนสามารถระบุกับทางทีมงานได้เลยค่ะหรือต้องการจะให้ทางทีมงานเป็นคนประเมินหน้าให้ว่า ขนาดของทั้งหมดที่จะให้ทีมงานทำการขนย้ายต้องใช้คนโดยประมานเท่าไหร่ เราจะประเมินตามจริง หากลูกค้าท่านใดต้องการจองรถรับจ้างขนของล่วงหน้า สามารถจองกับเราได้ทันทีค่ะโดยการ โทร แจ้งระบุวันเวลา สถานที่ ชนิดของที่จะทำการขนย้ายล่วงหน้าได้ทันทีค่ะ


รถรับจ้างกรุงเทพ วิ่งขนย้ายของทั่วทุกเขต ราคาต่อรองได้ สายชิวมาเลย

สำหรับในช่วงเทศกาลนี้จะมีการขนย้ายของเป็นจำนวนมาก และการจราจรติดขัดแน่นอนเพราะทุกคนต่างพากันกับต่างจังหวัดหรือบ้านเกิดของตัวเองเพื่อไปฉลองงานปีใหม่ หรือต่างพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนตามสถานที่เที่ยวต่างๆ ไม่ว่าทุกท่านจะเดินทางด้วยยานพาหนะตัวเอง หรือ เช่ารถกลับ ทางเราขอให้ทุกท่านเดินทางด้วยความปลอดภัยนะค่ะ

ท่านใดที่ต้องการใช้บริการรถรับจ้างกับทีมงานของเราสามารถติดต่อสอบถามกันเข้ามาได้ตามที่อยู่ ด้วยบริการ รถกระบะรับจ้างทองหล่อ บริการด้วยใจ ราคายุติธรรม รับรองว่าไม่ผิดหวังที่ใช้บริการขนส่ง เราอย่างแน่นอน ซึ่งเราบริหารงานและแก้ไขปัญหาในงานขนย้ายให้กับลูกค้ามาอย่างมากมาย อย่างเช่น บริษัท ห้างร้าน บุคคลธรรมดา จะขนย้ายสินค้าอุปโภค บริโภค งานย้ายไซด์งานก่อสร้าง งานขนย้ายสินค้าเกษตร ขนย้ายห้องพัก ขนย้ายบ้าน ย้ายคอนโด และการ รับจ้างขนของทองหล่อ อื่นๆอีกมากมายด้วย

ทำไมเราถึงต้องเลือก รถกระบะรับจ้างทองหล่อ ที่อยู่ใกล้

สำหรับผู้ใช้บริการ รถสี่ล้อรับจ้างทองหล่อ ในหลายท่านที่กำลังจะใช้ รถกระบะรับจ้างทองหล่อ หรือใช้รถออกจากอยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครต้องเข้าใจก่อนว่าในเขตกรุงเทพมหานครนั้นเป็นเขตพื้นที่ที่มีรถติดเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการขนย้ายของในแต่ละครั้งจึงต้องมีเวลามาพอสมควร ถ้าหากเป็นช่วงระยะเวลาที่มีจราจรครับข้างจะทำให้การขนย้ายสินค้าของเรานั้นล่าช้าออกไปด้วย ถึงแม้ว่าเราจะใช้รถวิ่งบนทางด่วนก็ตาม ดังนั้นการที่เราจะใช้ รถกระบะรับจ้างขนของทองหล่อ เราควรที่จะใช้รถที่อยู่ใกล้พื้นที่ โดยเราอาจจะค้นหาด้วยคำว่า รถรับจ้างขนของทองหล่อ ซึ่งจะมีตัวเลือกให้เราเลือกอย่างมากมายและรถกระบะรับจ้างทองหล่อ

จึงต้องอยู่ใกล้เรามากที่สุดและการขนย้ายในแต่ละครั้งจะต้องเผื่อเวลาในการขนย้ายของอย่างน้อย 3ถึง 4 ชั่วโมงเผื่อว่าจะได้ให้รถได้วิ่งเข้าไปถึงหน้างาน ในบางครั้งหากเราได้รถอยู่ในพื้นที่ที่ไกลการจราจรที่ติดขัดจะทำให้งานของเราล่าช้าไปด้วย ซึ่งถ้าหากว่าลูกค้ายังไม่มีความมั่นใจในการใช้รถกระบะรับจ้างหรือไม่มั่นใจว่าผู้ให้บริการรายนั้นจะใช้รถอยู่ในพื้นที่หรือไม่ท่านสามารถติดต่อเข้ามาสอบถามที่ขนส่งกับเราได้ซึ่งเรารถขนของจำนวนมากที่อยู่ไกลในเขตและจะไม่ทำให้งานล่าช้าหรือเสียเวลาอย่างแน่นอน

10
ตรวจสุขภาพมะเร็งเต้านม (Breast cancer)

มะเร็งเต้านม พบเป็นอันดับที่ 2 ของมะเร็งในผู้หญิง เริ่มพบได้ตั้งแต่วัยสาว และพบมากขึ้นตามอายุ ส่วนมากจะพบในช่วงอายุมากกว่า 40 ปี มะเร็งเต้านมพบว่ามีความสัมพันธ์กับการมีระดับเอสโทรเจนในเลือดสูงเป็นเวลานาน

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากปฏิสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างปัจจัยทางกรรมพันธุ์กับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม

พบว่าร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วยมีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ คือ มียีนที่เรียกว่า "ยีนมะเร็งเต้านม (breast cancer gene, BRCA)" ซึ่งสามารถถ่ายทอดให้ลูกหลาน ผู้ที่มียีนนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่

พบว่าโรคนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่

    มีประวัติเคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน
    มีประวัติว่ามารดาหรือพี่น้องเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ ถ้ามีญาติเป็นมะเร็งเต้านมก่อนวัยหมดประจำเดือน ยิ่งมากคนก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น
    การมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี
    การมีภาวะหมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี
    การมีบุตรคนแรกหลังอายุ 30 ปี หรือการไม่มีบุตร
    การใช้ฮอร์โมนทดแทนหลังวัยหมดประจำเดือนนานเกิน 4 ปี
    การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดตั้งแต่อายุยังน้อยและใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมก่อนวัยหมดประจำเดือน
    ภาวะอ้วน
    การสูบบุหรี่
    การดื่มสุราจัด
    การได้รับรังสีตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยสาว

อาการ

ระยะแรกมักไม่มีอาการชัดเจน ต่อมาจะมีอาการคลำได้ก้อนที่เต้านม หัวนมบุ๋ม (จากเดิมที่ปกติ) เต้านมใหญ่ขึ้นหรือรูปทรงผิดปกติ มีน้ำเหลืองหรือเลือดออกจากหัวนม หรือผิวหนังตรงเต้านมมีสีแดงและขรุขระคล้ายผิวส้ม ในระยะท้ายอาจคลำได้ก้อนน้ำเหลืองที่รักแร้


ภาวะแทรกซ้อน

มะเร็งเต้านมที่เป็นก้อนโตขึ้นอาจทำให้มีอาการเจ็บปวดทรมาน

ในระยะท้าย มะเร็งมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน อาทิ

    ปอด ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ภาวะมีน้ำหรือเลือดในช่องเยื่อหุ้มปอด หายใจลำบาก
    ตับ ทำให้เจ็บใต้ชายโครงขวา อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลืองตาเหลือง มีน้ำในท้อง (ท้องมาน)
    กระดูก ทำให้ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ (ขาชาและเป็นอัมพาต มีความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ) ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (ทำให้เป็นนิ่วไต ไตวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ สมองเสื่อม หมดสติ)
    สมอง ทำให้ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก หมดสติ สมองเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพรังสีเต้านม (mammogram) และการผ่าหรือเจาะเอาชิ้นเนื้อเต้านมไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (breast  biopsy)

ถ้าพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อดูการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ปอด กระดูก สมอง ด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์, เอกซเรย์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์,  การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI), การตรวจสแกนกระดูก, การตรวจเพทสแกน (PET scan) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเต้านม (อาจตัดเต้านมออกบางส่วน หรือตัดออกทั้งหมด) พร้อมกับเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออก

นอกจากนี้จะให้การรักษาเสริมด้วยรังสีบำบัด เคมีบำบัด ฮอร์โมนบำบัด (โดยให้กินยาทาม็อกซิเฟน-tamoxifen ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเอสโทรเจน) อิมมูนบำบัด (โดยการให้อินเตอร์เฟอรอน หรือ monoclonal antibody) และ/หรือการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drug)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ได้ผลดี ถ้าเป็นระยะแรกมักจะมีชีวิตอยู่ได้นานหรือหายขาด (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี มากกว่าร้อยละ 95) แต่ถ้ามะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว ก็มักจะได้ผลไม่สู้ดี (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณร้อยละ 20-25)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น คลำได้ก้อนที่เต้านม หรือสังเกตเห็นเต้านมมีลักษณะผิดปกติ เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก  กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การดื่มสุราจัด และการใช้เอสโทรเจนเป็นเวลานาน
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
    ลดการบริโภคเนื้อแดง
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หมั่นเลี้ยงบุตรด้วยนมตัวเอง (พบว่ามารดาที่ให้บุตรดื่มนมตัวเองนานเกิน 2 ปี ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมลง)
    ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตรวจเลือดหา "ยีนมะเร็งเต้านม (breast cancer gene, BRCA)" และผู้ที่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจพิจารณาให้กินยาป้องกัน ได้แก่ ยาต้านเอสโทรเจน (เช่น tamoxifen, raloxifene เป็นต้น) หรือในบางกรณีแพทย์อาจป้องกันด้วยการผ่าตัดเต้านมออกไป


ข้อแนะนำ

1. เนื่องจากการค้นพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะแรกเริ่มมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นผู้หญิงทุกคนควรตรวจเต้านมด้วยตนเอง พบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมหรือถ่ายภาพรังสีเต้านม ตามเกณฑ์อายุดังนี้

    อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างน้อยเดือนละครั้ง
    อายุ 30-39 ปี ควรพบแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับการฝึกอบรม เพื่อตรวจเต้านมทุก 3 ปี และอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจปีละครั้ง
    อายุระหว่าง 40-44 ปี ควรเริ่มรับการตรวจหามะเร็งระยะแรกเริ่ม (โดยที่ยังเป็นปกติดี คือ ยังคลำไม่ได้ก้อนที่เต้านมแต่อย่างใด) ด้วยการถ่ายภาพรังสีเต้านม (mammography) เป็นครั้งแรก, อายุ 45-54 ปี ควรตรวจปีละครั้ง และอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ควรตรวจทุก 1-2 ปี

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว) อาจจำเป็นต้องตรวจถี่กว่าปกติ

2. หากตรวจพบก้อนที่เต้านม ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด ไม่ควรนิ่งนอนใจ ปล่อยปละละเลย หรือกลัวและไม่กล้าไปตรวจกับแพทย์ ทำให้เสียโอกาสที่จะได้รับการเยียวยารักษาให้ได้ผลดีตั้งแต่แรก จริง ๆ แล้วก้อนที่เต้านมไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งเสมอไป แต่เนื่องจากการตรวจคลำด้วยมือไม่อาจแยกว่าเป็นเนื้อดีหรือร้ายได้ จำเป็นต้องให้แพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติม

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี


การตรวจเต้านมด้วยตนเอง

1. การคลำเต้านมในท่ายืน ใช้ฝ่ามือด้านตรงข้ามคลำตรวจเต้านมทีละข้าง สังเกตดูว่ามีก้อนอะไรดันอยู่หรือสะดุดใต้ฝ่ามือหรือไม่ (มะเร็งของเต้านมมักจะพบที่ส่วนบนด้านนอกของเต้านมมากกว่าส่วนอื่น จึงควรสังเกตดูบริเวณนี้ให้ละเอียด)

2. และ 3. การดูเต้านมตรงหน้ากระจกเงา ในท่ามือเท้าเอวและท่าชูมือขึ้นเหนือศีรษะ สังเกตดูลักษณะเต้านมทั้ง 2 ข้างโดยละเอียด เปรียบเทียบดูขนาด รูปร่างของหัวนม และการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังทุกส่วนของเต้านม (เช่น รอยนูนขึ้นผิดปกติ รอยบุ๋ม หัวนมบอด ระดับของหัวนมไม่เท่ากัน)

4. การคลำเต้านมในท่านอน ควรใช้หมอนหรือผ้าห่มหนุนตรงสะบัก ให้อกด้านที่จะตรวจแอ่นขึ้น ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ

5. (ในท่านอน) ใช้ฝ่ามือข้างซ้ายคลำเต้านมข้างขวาโดยคลำไปรอบ ๆ หัวนมเป็นรูปวงกลม ไล่จากด้านนอกเข้ามายังหัวนม

6. แล้วใช้นิ้วบีบหัวนม สังเกตดูว่ามีน้ำเหลือง หรือเลือดออกจากหัวนมหรือไม่ ให้ทำการตรวจเต้านมข้างขวาโดยใช้มือซ้าย ทำซ้ำข้อ 4, 5, 6

11
บริการด้านอาหาร: เมนูตับผัดพริกหวาน เสริมธาตุเหล็ก

 ในเรื่องของอาหารการกิน หลายคนให้ความสำคัญมาก เพราะบางคนใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ จึงเลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญของสุขภาพของตัวเอง แต่ในปัจจุบัน การเลือกรับประทานอาหาร ก็มีอุปสรรคมากมาย เพราะมีอาหารที่แปลกตา สีสันสดใสมาคอยล่อตาล่อใจอยู่เสมอ อาจจะทำให้บางครั้งเผลอไปรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และบางคนอาจจะไม่มีเวลาที่จะประกอบอาหารเอง เลยต้องไปซื้อตามท้องตลาดเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว แต่อาหารสุขภาพ ถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย มีส่วนช่วยดำรงส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงของการเกิดโรค สามารถรับประทานได้ในคนปกติ

รวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวด้วย เพราะอาจลดความเสี่ยงในโรคที่อาจจะเกิดร่วมขึ้นหรือป้องกันโรคแทรกซ้อนที่จะตามมาหรือทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น ประกอบกับคนในยุคปัจจุบัน เริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกรับประทานอาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกาย เลือกซื้ออาหารคลีน อาหารเพื่อสุขภาพ หามารับประทานเพื่อช่วยให้เราได้มีสุขภาพร่างกายที่ดี ซึ่งสุขภาพที่ดีนั้น เราสามารถเริ่มได้จากการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเมนูเพื่อสุขภาพที่ช่วยเสริมธาตุเหล็ก บำรุงเลือด และยังช่วยทำให้บำรุงระบบต่างๆของร่างกายด้วย นั่นก็คือ เมนู ตับผัดพริกหวาน ซึ่งเป็นเมนูสุขภาพที่รับประทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หลายคนคงรู้กันดีว่า กินตับแล้วเลือดลมดี เพราะให้ธาตุเหล็กสูงถึง 10.5 มิลลิกรัม ยิ่งถ้ารับประทานควบคู่กับการผัดกับพริกหวาน ยิ่งเพิ่มรสชาติให้อร่อย แถมพริกหวานเป็นอาหารที่ให้ธาตุเหล็กสูงถึง 17.2 มิลลิกรัม เลยทีเดียว

 สำหรับเมนูเพื่อสุขภาพ ตับผัดพริกหวานนั้น มีส่วนผสมคือ ตับหมูหั่นเป็นชิ้น พริกหวานหั่นเป็นชิ้น หอมหัวใหญ่ซอย กระเทียมบด น้ำมันพืช ซอสถั่วเหลือง ซอสน้ำมันหอย น้ำตาล น้ำซุปหมู และวิธีการทำก็ง่ายมาก โดยเริ่มจากนำตับหมูมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำมาแช่ในน้ำเย็น แล้วพักไว้ก่อน จากนั้น ตั้งกระทะใส่น้ำมัน นำกระเทียมลงไปผัด ใส่หอมใหญ่ และพริกหวาน ลงไปผัด ปรุงรสด้วย ซอสถั่วเหลือง ซอสน้ำมันหอย และน้ำตาล และนำตับลงไปผัดตามด้วยน้ำซุป ผัดให้ส่วนผสมเข้ากัน เพียงเท่านี้ก็จะได้เมนูเพื่อสุขภาพที่สามารถรับประทานได้ทั้งครอบครัว ซึ่งประโยชน์จากเมนูดังกล่าวนี้ แน่นอนว่า ตับหมูที่เป็นวัตถุดิบหลัก

เป็นอาหารที่มีธาตุเหล็ก วิตามินบี 2 และ วิตามินบี 3 ในปริมาณที่สูง ช่วยบำรุงผิวได้ดี นอกจากนั้นยังสามารถช่วยบำรุงสายตา กระตุ้นกล้ามเนื้อ ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากตับจะอุดมไปด้วยวิตามินบีนานาชนิดแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการแปลงพลังงานจากอาหารเป็นพลังงานเคมีที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย อีกทั้งวิตามินบีทั้งหลายยังมีส่วนสำคัญในระบบเผาผลาญไขมัน จึงทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานได้ดีขึ้นด้วย

เรียกได้ว่านอกจากจะทำให้คุณมีพลังงานแล้ว ยังอาจช่วยให้ ไขมันสะสมในร่างกายลดลง และเสริมสร้างกล้ามเนื้อด้วย แต่ตับมีคอเลสเตอรอลสูง หากบริโภคมากเกินความจำเป็น จะทำให้เป็นภัยต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ พริกหวาน ยังช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย และช่วยทำให้เจริญอาหาร มีสาร Capsaisin จะช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลาย เมื่อร่างกายได้รับสาร Capsaisin ร่างกายจะสร้างสาร Endorphins ที่ช่วยในการผ่อนคลายความเครียด ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือด โรคต้อกระจก และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหาร ทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย

 ดังนั้น เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย เพราะการรับประทานอาหาร มีผลต่อร่างกายของเราโดยตรง เมื่อเราจะเลือกรับประทานอาหารอะไรสักอย่าง จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด

12
เคล็ดลับทำบุญ ส่งอานิสงส์แรงและเร็ว ทำบุญขจัดอุปสรรค ชีวิตจากร้ายเป็นดี

การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดยยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

การทำบุญตักบาตรหรือถวายสังฆทาน เป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์ดีและเร็ว หากใครที่กำลังมีอุปสรรคในชีวิต หรืออยากจะเสริมดวงให้ดีขึ้นแบบรอบด้าน แมน การิน นักแสดงที่มีความสามารถด้านเลขศาสตร์และการดูดวง แนะนำให้หาเวลาไปทำบุญโดยมีทริกดีๆ ในการเสริมบุญให้ชีวิตจากร้ายกลายเป็นดีมาฝาก

ทำบุญถวายเครื่องหอม และดอกไม้หอม

การทำบุญด้วยเครื่องหอม หรือดอกไม้หอม จะมีอานิสงส์ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีออร่า เป็นคนมีเสน่ห์ตลอดเวลา และส่งเสริมอริยทรัพย์และโภคทรัพย์ให้มีความเจริญรุ่งเรือง รวมไปถึงการเกิดในชาติหน้า จะมีผิวพรรณเปล่งปลั่งและมีออร่า โดยคนแต่ละวันเกิดก็จะเหมาะกับดอกไม้ที่ต่างกันไป ดังนี้

ทำบุญถวายดอกไม้ตามวันเกิด

วันอาทิตย์ - ถวายดอกไม้สีแดง เช่น ดอกเข็ม หรือดอกกุหลาบ
วันจันทร์ - ถวายดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เช่น ดอกมะลิ ดอกรัก
วันอังคาร และวันศุกร์ - ถวายดอกไม้อะไรก็ได้ที่เป็นสีชมพู
วันพุธ - ถวายดอกบัว ดอกพุด
วันพฤหัสบดี - ถวายดอกไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ดอกดาวเรือง ดอกเบญจมาศ
วันเสาร์ - ถวายดอกไม้ที่มีสีม่วง เช่น ดอกกล้วยไม้ ดอกบานไม่รู้โรย

ทำบุญถวายแสงสว่าง

การทำบุญที่จะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและอุปสรรค ทำให้ชีวิตของเราราบรื่นขึ้น คือ การทำบุญถวายแสงสว่าง ไม่ว่าจะเป็นเทียน โคมไฟ หลอดไฟ ตะเกียง หรืออะไรก็ตามที่ให้แสงสว่าง เชื่อกันว่าจะทำให้ชีวิตเจอแต่ทางสว่าง หากมีปัญหาก็จะพบทางออกโดยเร็ว

ทำบุญด้วยสิ่งของที่มีความหมาย

การทำบุญด้วยชองใช้ หรือของกินต่างๆ ถือว่าได้อานิสงส์โดยตรง เราะสามารถใช้ได้ทันที ถ้าหากใครที่มุ่งเน้นการเสริมดวงเร่งด่วน แนะนำให้บริจาคของใช้ที่มีความหมาย เช่น ร่ม (ช่วยให้ชีวิตราบรื่น อยู่เย็นเป็นสุข) เสื่อ หมอน (ช่วยให้ชีวิตไร้อุปสรรค มีแต่คนสนับสนุนช่วยเหลือ) น้ำดื่ม (ช่วยให้มีชีวิตที่สดใส ไร้อุปสรรค)

สวดมนต์

การสวดมนต์ หลายคนอาจคิดว่าควรสวดแค่ก่อนนอนเท่านั้น แต่ความจริงแล้วเราสามารถสวดได้ตลอดทั้งวัน ระหว่างวันที่ว่างก็สามารถสวดได้เพื่อเสริมดวงชะตา โดยบทสวดที่แนะนำในการชนะอุปสรรค และเสริมชีวิตราบรื่น คือ พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า คาถาชินบัญชร คาถามหาจักรพรรดิ เป็นต้น โดยสามารถสวดทุกบท หรือเลือกสวดบางบทก็ได้ ซึ่งการสวดมนต์นอกจากจะเป็นการฝึกสติและสมาธิของเราแล้ว ยังเชื่อว่าเป็นการหนุนดวงของเราแบบรอบด้านได้ดีอีกด้วย

13
เมนูสร้างอาชีพ ผัดพริกแกงเนื้อ รสชาติจัดจ้าน หอมกรุ่นสมุนไพรสด บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของอาหารไทยแท้

ผัดพริกแกงเนื้อถือเป็นเมนูพิเศษในหมู่นักชิม ผัดพริกแกงเนื้อนี้ผสมผสานเนื้อวัวหั่นชิ้นนุ่มเข้ากับเครื่องแกงแดงหอมกรุ่นและสมุนไพรสด มอบความสมดุลอันลงตัวของเครื่องเทศ กลิ่นหอมและรสชาติที่กลมกล่อมจนใครๆ ก็ต้องกลับมาทานซ้ำ ผัดพริกแกงเนื้อเป็นอาหารตามสั่งยอดนิยมที่ทำง่ายและอร่อยถึงเครื่องนี่คือวิธีทำแบบง่ายๆ ที่คุณสามารถลองทำตามได้เลย

ผัดพริกแกงเนื้อ คืออะไร?
ผัดพริกแกงเนื้อ แปลว่าเนื้อผัดพริกแกงต่างจากแกงไทยที่ใช้กะทิ ตรงที่ผัดแบบแห้ง ทำให้พริกแกงเกาะติดเนื้อและผัก ทำให้ได้รสชาติเข้มข้นโดยไม่เหลวเกินไป
หัวใจสำคัญของเมนูนี้คือพริกแกงแดงไทยซึ่งผสมผสานพริกแห้ง ตะไคร้ ผิวมะกรูด ข่า กระเทียม และกะปิ เมื่อผัดกับเนื้อวัว กลิ่นหอมอันน่าหลงใหลจะอบอวลจนยากจะต้านทาน บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของอาหารริมทางไทยแท้

ส่วนผสมหลัก
เนื้อวัว – การหั่นเนื้อวัวเป็นชิ้นบางๆ ให้มีความนุ่มจะดีที่สุด เพราะจะทำให้เนื้อสามารถดูดซับพริกแกงได้
เครื่องแกงแดง – รสชาติกลมกล่อม เผ็ดร้อน และหอมกรุ่น
ถั่วฝักยาวหรือถั่วเขียว – เพิ่มความกรุบกรอบและความสดชื่น
ใบมะกรูด – กลิ่นหอมส้มและสัมผัสความเป็นไทยแท้ๆ
น้ำปลาและน้ำตาลปี๊บ – เพื่อความสมดุลของรสเค็ม หวาน และเผ็ด
ใบโหระพาสด – ไม่จำเป็น แต่จะทำให้มีรสชาติเข้มข้นและสดชื่นขึ้น

วิธีการทำ
ขั้นตอนการปรุงอาหารรวดเร็วและตรงไปตรงมา:
ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อนแล้วผัดพริกแกงจนมีกลิ่นหอม
ใส่เนื้อวัวลงไปแล้วผัดจนสุก
ใส่ถั่วฝักยาวและใบมะกรูดลงไป
ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลมะพร้าวให้รสชาติเข้ากัน
เสิร์ฟร้อนๆ บนข้าวหอมมะลิ

ทำไมผู้คนถึงชอบมัน
รสชาติเข้มข้น – ความเผ็ดร้อนจากพริกแกงช่วยเพิ่มความเข้มข้นตามธรรมชาติของเนื้อวัว
Quick & Convenient – Perfect as a fast “one-dish meal” (อาหารตามสั่ง) found in Thai street food stalls.
ปรับแต่งได้ – สามารถปรุงด้วยเนื้อหมู ไก่ หรือแม้กระทั่งอาหารทะเลแทนเนื้อวัวได้

วิธีที่ดีที่สุดในการเพลิดเพลิน
ผัดพริกแกงเนื้อมักเสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลินึ่ง ซึ่งช่วยตัดความเผ็ดได้อย่างลงตัว สำหรับคนที่ชอบความเผ็ดจัด สามารถเพิ่มพริกสดหรือพริกแกงลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติได้


14
อาหารกับเครื่องมือการจัดฟันเด็ก

 ในเรื่องของการรับประทานอาหาร สำหรับเด็ก ถือว่าเป้นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะสารอาหารที่เด็กได้รับนั้น ส่งผลต่อร่างกายโดยตรง ดังน้ันควรเลือกอาหารให้ลูกอย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กได้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นด้วย แต่ถ้าหากเราพุดเรื่องของอาหารหรือโภชนาการของเด็กแล้ว แน่นอนว่า เรื่องอาหารนั้น ย่อมมีผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันโดยตรง เพราะในการบดเคี้ยวอาหาร

จะต้องใช้ช่องปากและฟันในการบดเคี้ยวอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหาร และยังส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเด็กด้วย แต่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน พ่อแม่ก็ต้องเอาใจใส่ด้วยเช่นกัน เพราะเรื่องสุขอนามัยของลูกถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง พ่อแม่ผู้ปกครองอย่าคิดว่า ฟันน้ำนมของลูกไม่มีความสำคัญ เพราะฟันน้ำนมถือว่าเป็นรากฐานของการขึ้นของฟันแท้ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม

ถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ควรที่จะพาเด็กเข้ารับการจัดฟันตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะได้รีบแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานๆ อาจจะทำให้เด็กเกิดปัญหาฟันลุกลามได้ และเมื่อเติบโตไปก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาฟัน และยังส่งผลต่อบุคลิกภาพและความมั่นใจด้วย

 แต่ในการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เชื่อว่า พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะมีความกังวล ว่าถ้าหากบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้ว ในเรื่องของการรับประทานอาหารจะมีผลอย่างไรบ้างต่อเครื่องมือการจัดฟันในเด็กที่ติดตั้งอยู่ภายในช่องปาก ซึ่งพ่อแม่หลายคนเป้นกังวล เพราะบุตรหลานอาจจะมีพฤติกรรมรับประทานอาหารได้ยาก กังวลว่าถ้ายิ่งเข้ารับการจัดฟัน อาจจะทำให้เด็กยิ่งรับประทานอาหารยากมากยิ่งขึ้น

และจะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเด็ก ดังนั้น วันนี้ทางคลินิก ของเราจะมาพูดถึงการรับประทานอาหารกับเครื่องมือการจัดฟันในเด็ก จะจะมีผลต่อการจัดฟันในเด้กอย่างไรบ้าง ซึ่งในเรื่องของการรับประทานอาหาร ผู้เข้ารับการจัดฟันหลายคนคิดว่าการับประทานอาหารนั้น เป็นอุปสรรคเนื่องจากเรามีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปากอาจจะทำให้บดเคี้ยวอาหารได้ไม่สะดวก ซึ่งนี่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ผู้เข้ารับการจัดฟันต้องเจอ

เป็นเรื่องปกติ แต่ที่สำคัญก็คือ เราจะต้องเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม เช่นเดียวกันกับเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน ก็ต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีความอ่อนนิ่ม เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการรับประทานอาหาร ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะคอยดูแลในเรื่องของอาหาร ลดรับประทานลูกอมหรือของหวาน แต่ถ้าหากรับประทานก็ต้องแปรงฟันให้สะอาด เพื่อป้องกันการเกิดฟันผุและปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับช่องปากและฟันด้านอื่นๆด้วย

 อย่างไรก็ตาม ตัวเด็กเองก็ต้องเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมมีวินัยในการรับประทานอาหารด้วย ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เด็กจะต้องให้ความร่วมมือกันทันตแพทย์ในการปฏิบัติตัวและการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันด้วย ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด

เพื่อให้ผลการรักษาในการจัดฟันในเด็กนั้นมีประสิทธิภาพ และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เพราะถ้าเด็กไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาและไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ก็อาจจะทำให้การจัดฟันไม่ได้ผลและอาจจะต้องเข้ารับการจัดฟันซ้ำในอนาคตได้

 หากใครสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันทุกรูปแบบ รวมไปถึงมีประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน จึงทำให้มั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่แข็งแรง

ไม่เกิดฟันผุ มีโครงสร้างของใบหน้าที่ปกติ ทำให้เด็กมีความมั่นใจ มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น เพราะทางเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก อยากให้เด็กได้มีฟันที่แข็งแรง เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

15
หมอประจำบ้าน: กระดูกพรุน (Osteoporosis)

โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่มีปริมาณแร่ธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกลดลง ร่วมกับความเสื่อมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นโครงสร้างภายในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงเปราะและแตกหักง่าย บริเวณที่พบการหักของกระดูกได้บ่อย ได้แก่ ข้อมือ สะโพก และสันหลัง

โรคที่พบมากในคนสูงอายุ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า และผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคกระดูกพรุน จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป

สาเหตุ

กระดูกประกอบด้วย โปรตีน คอลลาเจน และแคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง

กระดูกมีการสร้างและสลายตัวอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ขณะที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากอาหารที่กินเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดและถูกขับออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ ปกติในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโต มวลกระดูกจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุประมาณ 30-35 ปี หลังจากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการสร้าง ทำให้กระดูกค่อย ๆ บางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงช่วงหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนชนิดนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนชนิดนี้ก็จะทำให้กระดูกบางตัวลงอย่างรวดเร็ว จนเกิดภาวะกระดูกพรุน

ดังนั้น โรคกระดูกพรุนส่วนใหญ่จึงเกิดจากภาวะหมดประจำเดือนในผู้หญิง (ซึ่งจะเริ่มมีอัตราเร่งของการสลายตัวของกระดูกในช่วง 10-20 ปี หลังหมดประจำเดือน) และความเสื่อมตามอายุที่มีการสะสมอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยาวนานของการเสียดุลระหว่างการสร้างและการสลายของกระดูก (พบได้ทั้งชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 75 ปี)

นอกจากนี้ยังอาจพบร่วมกับภาวะอื่น ๆ เรียกว่า กระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ (secondary osteoporosis) เช่น

    ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคคุชชิง ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานเกิน เบาหวาน โรคปวดข้อรูมาตอยด์ เอลแอลอี โรคตับเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง มะเร็ง (เต้านม เม็ดเลือดขาว ต่อมน้ำเหลือง)
    ภาวะขาดสารอาหารและแคลอรี ภาวะขาดแคลเซียม
    น้ำหนักน้อย (ผอม)
    การใช้ยาติดต่อกันนาน ๆ เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ (เช่น ฟูโรซีไมด์) ยาลดการสร้างกรดกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊มป์ (เช่น โอเมพราโซล) ยากันชัก(เช่น เฟนิโทอิน ฟีโนบาร์บิทาล) เฮพาริน หรือใช้ฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน
    การไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายนาน ๆ (เช่น ผู้ป่วยที่นอนแบ็บอยู่บนที่นอนตลอดเวลา) การสูบบุหรี่ (ทำให้เอสโทรเจนในเลือดลดลง)
    การเสพติดแอลกอฮอล์
    การสูบบุหรี่

นอกจากนี้ ยังพบว่าโรคนี้มีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ และบางครั้งอาจพบในคนอายุไม่มากโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจนก็ได้

 อาการ

ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการแสดง จนกระทั่งเกิดภาวะกระดูกหัก ก็จะเกิดอาการเจ็บปวด หรือความผิดปกติของโครงสร้างกระดูก เช่น ปวดข้อมือ สะโพก หรือหลัง (เนื่องจากกระดูกข้อมือ สะโพก หรือสันหลังแตกหัก) ส่วนสูงลดลงจากเดิม (เนื่องจากการหักและยุบตัวของกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว) เป็นต้น

ถ้าเป็นโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ

ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญคือ กระดูกหัก อาจทำให้เกิดความพิการเดินไม่ได้ หรือหลังโกงหลังค่อม

ในรายที่กระดูกสะโพกหัก ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ ถ้าจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงหลังผ่าตัดได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ถ้ามีภาวะกระดูกหักเฉียบพลัน เช่น ตกจากที่สูง หกล้ม ก็จะตรวจพบอาการเจ็บปวด บวม หรือกระดูกบิดเบี้ยว หรือขยับเขยื้อนไม่ได้

ถ้ากระดูกสันหลังแตกหัก หรือยุบตัวแบบเรื้อรัง (มักเกิดจากแรงกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย โดยที่ผู้ป่วยอาจไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร) ผู้ป่วยจะมีส่วนสูงลดลง หรือหลังโกงหลังค่อม

นอกจากนี้อาจตรวจพบอาการของโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคคุชชิง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์กระดูกตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density) ด้วยเครื่องตรวจโดยเฉพาะ เช่น การตรวจด้วยวิธี DXA (dual-energy X-ray absorptiometry) การตรวจอัลตราซาวนด์กระดูกส้นเท้า (calcaneal ultrasonography) เป็นต้น นอกจากนี้ อาจทำการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อค้นหาสาเหตุในรายที่สงสัยว่ามีโรคหรือภาวะอื่นร่วมด้วย

การรักษาโดยแพทย์

สำหรับผู้ป่วยที่มีกระดูกพรุนโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้กินแคลเซียม เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต และอาจให้วิตามินดีร่วมด้วย ในรายที่อยู่แต่ในที่ร่ม (ไม่ได้รับแสงแดด) ตลอดเวลา

สำหรับหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน แพทย์อาจพิจารณาให้ฮอร์โมนเอสโทรเจนทดแทน

สำหรับผู้ชายสูงอายุที่มีภาวะพร่องฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนร่วมด้วย อาจต้องให้ฮอร์โมนชนิดนี้เสริม

นอกจากนี้ อาจพิจารณาให้ยากระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม และ/หรือยาลดการสลายกระดูกเพิ่มเติมแก่ผู้ป่วยบางราย เช่น ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate), แคลซิโทนิน (calcitonin)

หากไม่ได้ผลหรือใช้ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนตไม่ได้ แพทย์อาจให้ยาชนิดใหม่ เช่น ดีโนซูแมป (denosumab), เทริพาราไทด์ (teriparatide)

ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาเป็นประจำ แพทย์จะนัดมาตรวจเป็นระยะ อาจต้องทำการตรวจกรองมะเร็งเต้านมและปากมดลูก (สำหรับผู้ที่กินเอสโทรเจน) ปีละ 1 ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก 2-3 ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก เป็นต้น

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหัก ก็ให้รักษา เช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด การทำกายภาพบำบัด เป็นต้น

ในรายที่มีโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อม ๆ กัน

การดูแลตนเอง

ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ หญิงวัยหมดประจำเดือน (วัยทอง) ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดนาน ๆ (เช่น ยาสเตียรอยด์ ยากันชัก) เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจกรองโรคกระดูกพรุน

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    งดบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด
    ระมัดระวังอย่าให้หกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุ ทำให้กระดูกหัก เช่น แก้ไขภาวะความดันตกในท่ายืน หรือสายตามัว (เช่น ต้อกระจก) หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้ง่วงนอน หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง (เช่น ยากล่อมประสาท) และควรจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัย (เช่น บันไดที่ขึ้นลง แสงสว่าง ห้องน้ำ พื้นต่างระดับ ราวเกาะยึด เป็นต้น)

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดข้อ หรือปวดหลังเฉียบพลัน หรือสงสัยกระดูกหัก
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. กินแคลเซียมให้เพียงพอทุกวัน* อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก (เช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (เช่น คะน้า ใบชะพลู) งาดำคั่ว

แนวทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและวัยรุ่นควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเป็นประจำ จะทำให้ได้รับแคลเซียมร้อยละ 50 ของปริมาณที่ต้องการ ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้กินจากอาหารแหล่งอื่น ๆ ประกอบ

ผู้ใหญ่บางคนที่มีข้อจำกัดในการดื่มนม (เช่น มีภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกกินเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากขึ้น

2. ออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังที่มีการถ่วงหรือต้านน้ำหนัก (weight bearing) เช่น การเดิน การวิ่ง เต้นแอโรบิก กระโดดเชือก รำมวยจีน เต้นรำ เป็นต้น ร่วมกับการยกน้ำหนัก จะช่วยให้มีมวลกระดูกมากขึ้น และกระดูกมีความแข็งแรง ทั้งแขน ขา และกระดูกสันหลัง

3. รับแสงแดด ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างกระดูก ในบ้านเราคนส่วนใหญ่จะได้รับแสงแดดเพียงพออยู่แล้ว นอกจากในรายที่อยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา ก็ควรจะออกไปรับแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าหรือยามเย็น วันละ 10-15 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน ถ้าอยู่แต่ในที่ร่ม ไม่ถูกแสงแดด อาจต้องกินวิตามินดีเสริม

4. รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้ต่ำกว่าเกณฑ์ (ผอมเกินไป) เพราะคนผอมจะมีมวลกระดูกน้อย เสี่ยงต่อกระดูกพรุนได้

5. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน เช่น

    ไม่กินอาหารประเภทโปรตีนหรือเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะอาหารพวกนี้จะกระตุ้นให้ไตขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากเกินปกติ
    ไม่กินอาหารเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะเกลือโซเดียมจะทำให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง และเพิ่มการขับแคลเซียมทางไตมากขึ้น
    ไม่ดื่มน้ำอัดลมปริมาณมาก เพราะกรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมทำให้เกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากขึ้น
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลตในปริมาณมาก เพราะแอลกอฮอล์และกาเฟอีนในเครื่องดื่มเหล่านี้จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้เล็ก (กาแฟไม่ควรดื่มเกินวันละ 3 แก้ว แอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ 2 หน่วยดื่ม ซึ่งเทียบเท่าแอลกอฮอล์สุทธิ 30 มล.)
    งดการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่กระตุ้นให้เกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากขึ้น (เนื่องจากลดระดับเอสโทรเจนในเลือด)
    ระวังการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ซึ่งจะเร่งการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย

6. รักษาโรคหรือภาวะที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคคุชชิง

* สำหรับคนไทยซึ่งมียีนที่ควบคุมการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เล็กได้ดีกว่าชาวตะวันตก และได้รับแสงแดดช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีได้ตลอดปี มีความต้องการปริมาณแคลเซียมน้อยกว่าชาวตะวันตก ซึ่งแนะนำให้บริโภคแคลเซียมตามช่วงอายุ ดังนี้
    อายุ 9-18 ปี ควรบริโภคแคลเซียม 1,000 มก./วัน
    อายุมากกว่า 50 ปี ควรบริโภคแคลเซียม 800-1,000 มก./วัน
    อายุมากกว่า 50 ปี ควรบริโภคแคลเซียม 800-1,000 มก./วัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวัยเด็กและหนุ่มสาว ควรบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอ เพื่อสะสมมวลกระดูกไว้ให้มาก จะป้องกันการเกิดกระดูกพรุนได้ดีกว่าการเสริมแคลเซียมหลังอายุ 30-35 ปี (ช่วงที่ร่างกายสร้างมวลกระดูกหนาแน่นสูงสุด) ไปแล้ว

ข้อแนะนำ

โรคนี้พบได้บ่อยในหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน และผู้สงอายุ ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อกระดูกหักง่าย ควรป้องกันด้วยการปฏิบัติตัวต่าง ๆ (เช่น การบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมให้มากพอ การออกกำลังกาย การรักษารูปร่างอย่าให้ผอมเกินไป การไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มสุราจัด) ตั้งแต่วัยเด็กและวัยหนุ่มสาว

หน้า: [1] 2 3 ... 58